fbpx

ชีวิตในความคิดของนักสร้างแรงบันดาลใจ ต่วนอิสกันดาร์ ดาโต๊ะมูลียอ

หากดูเพียงผิวเผิน เขาอาจเป็นผู้ชายร่างเล็กอารมณ์ดีหน้าตายิ้มแย้มธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่หลังจากร่วมสนทนาเราจึงได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น ต่วนอิสกันดาร์ ดาโต๊ะมูลียอ ผู้ชายที่มีชื่อยาวและแปลกหูสำหรับคนไทย แต่กลับเป็นผู้ชายที่ใครต่อใครที่ได้รู้จักต่างให้สมญานามเขาว่าเป็น “ผู้ชายที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขเสมอ”

สมญานามนี้ได้มาจากสิ่งที่เขาทำและบทบาทที่เขามีต่อผู้คนมาตลอดหลายปี ทั้งการเดินสายพูดเพื่อสร้างกำลังใจ และข้อเขียนพลังบวกในเฟซบุ๊คส่วนตัว ส่งผลให้ภาพของ ต่วนอิสกันดาร์ ในสายตาของคนรู้จักและคนที่เคยได้ฟังและอ่านมุมมองความคิดของเขา เป็นภาพของคนที่มองโลกในแง่บวกและมีกำลังใจเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม

และนี่คือมุมมองชีวิตของผู้ชายที่เต็มไปด้วยพลังบวกคนนี้ “ต่วนอิสกันดาร์ ดาโต๊ะมูลียอ”

“การให้กำลังใจรวมถึงการดะวะห์(เชิญชวนผู้คนไปสู่ความดี) ที่ดีที่สุดคือการให้ประโยชน์กับคนมากที่สุด” ต่วนอิสกันดาร์ ตอบเมื่อเราถามถึงสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ เขายังบอกอีกว่าหัวใจของการดะวะห์ไม่ใช่ความเก่ง แต่มันคือความรัก “เราต้องเริ่มจากศูนย์ไปร้อย จากผิดไปถูก จากมืดไปสว่าง ต้องเริ่มจากการที่ใจของเราต้องรักคนๆ นั้นด้วย การที่คุณรักใครคุณจะพร้อมไปอยู่ ใกล้ๆ เขา แม้ว่าเขาจะทำผิดก็ตาม”

ต่วนอิสกันดาร์ บอกว่าเวลาไปพูดเพื่อสร้างกำลังใจ เขาเป็นคนที่จะไม่ตัดสินใคร “ผมจะไม่มองว่าใครเก่งเหนือกว่าใคร ทุกคนมีภาพวาดของตัวเองอยู่ เมื่อนำภาพวาดของเราแต่ละคนมารวมกันมาต่อจิกซอว์กันมันจะเป็นองค์ประกอบที่สวยงาม”

 

ผมมองว่าการสร้างศัตรูมันเป็นสิ่งที่เสียเวลา

 

“หลายครั้งที่เกิดเรื่องดราม่าในเฟซบุ๊ค ผมจะนำประเด็นเหล่านั้นมาศึกษาต่อ จนสุดท้ายเรามองว่ามีอีกหลายเรื่องที่เราอยากอ่านอยากรู้” ถึงแม้จะเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก แต่ต่วนอิสกันดาร์ก็สนใจความขัดแย้งของผู้คน และในหลายเหตุการณ์ความเห็นที่เขาเขียนลงเฟซบุ๊คส่วนตัวก็มักได้รับความสนใจ “ผมมองว่าการสร้างศัตรูมันเป็นสิ่งที่เสียเวลา ไม่เหมือนกับสร้างมิตรที่เราได้เวลาเพิ่มขึ้นมาก” แต่ด้วยความเป็นคนมองโลกในแง่บวก เขาก็ยังมองเห็นข้อดีของการมีศัตรู “การสร้างศัตรูเรามองเห็นถึงข้อดีของมันอย่างน้อยๆ คือมันทำให้เราพัฒนาขึ้นเพราะทำให้เรามีแรงขับ”

แต่การจะพัฒนาตัวเองนั้นใช้เพียงแรงขับจากศัตรูอย่างเดียวคงไม่พอ ต่วนอิสกันดาร์ จึงแนะนำให้หาบุคคลต้นแบบในชีวิต “ผมจะนำคนที่เราชอบมาวิเคราะห์ เช่นผมชอบ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ผมก็จะดูว่าในตัวเขามีอะไรบ้างที่เราชอบ แล้วนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนาตัวเราเองให้ทำได้ดีกว่า”

และการพัฒนาตัวเองนั้น ต่วนอิสกันดาร์ มองว่ามันต้องควบคู่กันทั้งทางโลกและทางธรรม “แม้กระทั่งท่านนบีมูฮัมมัดเราก็สามารถนำมาต่อยอดได้ เรื่องความประเสริฐและความถูกต้องเราไม่ปฏิเสธว่านบีมูฮัมมัดดีที่สุด แต่ถ้าประชาชาติของท่านไม่สามารถดีได้เหมือนท่าน อิสลามก็จะไม่มีวันเจริญ แต่มันก็ยังมีเรื่องที่เราสามารถเก่งกว่าท่านนบีมูฮัมมัดได้ในหลายๆ ด้าน เก่งในที่นี้คือเก่งในสิ่งที่ท่านนบีไม่ได้ทำ (หมายถึงศาสตร์สมัยใหม่ด้านอื่นๆ) แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณเก่งกว่าแล้วคุณจะดีว่าท่านนบีนะ มันหมายความว่าคุณจะพัฒนาส่วนไหนเพื่อเติมเต็มอิสลามเท่านั้นเอง”

ถึงแม้จะมีภาพเป็นนักพูดสร้างกำลังใจ ที่หลายคนอาจมองว่าเป็นผู้มีประสบการณ์มากมายในชีวิต แต่ ต่วนอิสกันดาร์ ยอมรับว่าเขามักจะไม่ให้คำแนะนำใครในเรื่องการใช้ชีวิต “ผมเป็นคนไม่ค่อยให้คำปรึกษาใคร แต่ผมจะเน้นพูดคุยให้เขาได้มีชีวิตในสิ่งที่เขาอยากเป็นมากกว่า เพราะผมคิดว่าเราออกแบบใครไม่ได้ ผมจะดูว่าเขาจะไปทางไหนแล้วเราก็จะเดินไปกับเขา ให้เขามีความสุขในแบบที่เขาเป็น ถ้าเขาไปถึงที่หมายมันก็ดีทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าหากเขาไปไม่ถึง ผมก็จะมาถามว่าเขาได้เรียนรู้อะไรบ้างจากสิ่งที่เขาไปไม่ถึง ซึ่งแน่นอนเขาจะได้บทเรียนระหว่างทางเช่นกัน”

ต่วนอิสกันดาร์ มองว่าสิ่งที่เขาทำคือการสร้างโอกาสให้กับผู้คน โอกาสที่ใครบางคนจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง “ผมคิดว่าโอกาสสามารถเปลี่ยนคนได้ พลังของการให้โอกาสมันยิ่งใหญ่และไม่ต้องใช้เงิน”

การรู้จักคนเยอะคือโอกาส

นอกจากจะสร้างโอกาสให้กับผู้อื่นแล้ว ต่วนอิสกันดาร์ ยังมักสร้างโอกาสให้กับตัวเองอยู่เสมอ “ผมโชคดีที่มีโอกาสสัมผัสกับสังคมพหุวัฒนธรรมมาตลอด โดยส่วนตัวชอบรู้จักคนใหม่ๆ รู้จักคนเฉลี่ยวันละ 2 คน การรู้จักคนเยอะคือโอกาส”

มีตัวแปรมากมายที่ก่อให้โอกาสเกิดขึ้นกับชีวิต และบางครั้งชีวิตก็นำพาให้เราต้องเลือกโอกาสที่รออยู่ข้างหน้า “ก่อนหน้านี้ผมทำงานเป็นฝ่ายการตลาดที่ รพ.กรุงเทพ อยู่ 8 ปี ปัจจุบันผมเลือกลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว มันทำให้ผมเห็นอีกมุมของชีวิต”

ต่วนอิสกันดาร์ ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ซึ่งเป็นงานที่สร้างโอกาสในการรู้จักผู้คนให้กับเขามาตลอด แต่การตัดสินใจทิ้งโอกาสของเขาครั้งนี้ ทำให้เขาได้รับโอกาสอื่นในชีวิต

“เมื่อคุณออกจากงานประจำคุณจะสูญเสียรายได้ แต่สิ่งที่คุณจะได้กลับมาซึ่งเป็นสิ่งมีค่าที่สุดที่คนมีรายได้อยากจะมีนั่นคือเวลา คุณจะมีเวลาเยอะมาก ได้ทำในสิ่งที่อยากทำเยอะแยะ ซึ่งถามว่าคุ้มไหมสำหรับตัวผมตอบเลยว่าคุ้ม เพราะผมได้ใช้เวลาที่มีไปทำในสิ่งที่ผมอยากทำ เช่น ไปบรรยายและร่วมแชร์ประสบการณ์ให้กับผู้อื่น ไปเป็นพิธีกรช่วยตามงานสาธารณะกุศล แค่นี้ก็มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำแล้ว”

และโอกาสที่ว่านั่นคือ โอกาสในการทำให้ชีวิตตัวเองและชีวิตคนอื่นมีความสุข

อ่านเรื่องนี้แล้วคิดอย่างไร ?

About author View all posts

Nada Khongthon