fbpx

ความในใจของผู้หญิงมุสลิมที่ต้องต่อสู้กับโรคซึมเศร้า และการตีตราจากสังคม

ฉันอยากเขียนบทความชิ้นหนึ่ง บทความที่ฉันจะสารภาพว่าตนเองกำลังเผชิญกับโรคซึมเศร้า บทความที่เปิดเปลือยความในใจฉบับนั้นจะมีคำสารภาพว่า ฉันกำลังจมอยู่ในสภาวะนอนไม่พอและท้อแท้อยู่บ่อยครั้ง บทความที่ฉันจะพูดถึงการมีลูกเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่า “ออทิสติก” และความเจ็บปวดรวดร้าวในใจที่ต้องเห็นว่าลูกๆ ของตัวเองมีโรคนั้นเช่นกัน…

ฉันร้องไห้ขณะเขียน และคุณอาจร้องไห้ขณะที่อ่านมัน จุดจบของเรื่องราวนั้นจะทำให้ฉันเข้าใจจุดประสงค์ของการต่อสู้กับชีวิตในหลายปีที่ผ่านมา แต่..แต่ฉันยังไม่ได้เขียนบทความนั้นหรอก เพราะมันยังมาไม่ถึง วันนี้ฉันจึงเขียนได้แค่บทความอันนี้แทนไปก่อน…

มุสลิมเรามักจะมีความเชื่อโบราณเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า และที่เลวร้ายที่สุดคือความเชื่อที่ว่า “ไม่มีโรคซึมเศร้าในอิสลาม”

“โอ้มนุษย์เอ๋ย ! แท้จริงข้อตักเตือน (อัลกุรอาน) จากพระเจ้าของพวกท่าน ได้มายังพวกท่านแล้ว และ(มัน)เป็นการบำบัดสิ่งที่มีอยู่ในทรวงอก และเป็นการชี้แนะทาง และเป็นความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา (10:57)

อัลลอฮเรียกอัลกุรอานว่า “ยาบำบัดรักษาหัวใจ” หากความเศร้าไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ดังที่อ้างไว้ คุณคิดว่ายาที่อัลลอฮหมายถึงนั้นมีไว้รักษาภาวะโรคหัวใจล้มเหลวอย่างนั้นหรือ?

ต้นตอของความเชื่อโบราณเหล่านั้นมักจะมาจากความคิดที่ว่า ภาวะซึมเศร้าคือรูปแบบหนึ่งของการเนรคุณต่อพระเจ้า หรือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการมีศรัทธาที่อ่อนแอ

พูดง่ายๆ ก็คือคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้านั้นไม่มีอิสลามในหัวใจ หรืออะไรทำนองนั้น…

“มนุษย์คิดหรือว่า พวกเขาจะถูกทิ้งไม่ให้เจอกับสิ่งใดเพียงเพราะเขาพูดว่า “เราศรัทธา” แล้วพวกเขาจะไม่ถูกทดสอบกระนั้นหรือ?”

อัลลอฮได้ตั้งคำถามให้เราทุกคนในซูเราะห์อังกาบู้ต คุณคิดว่าการเป็นผู้ศรัทธาแล้วจะทำให้คุณไม่ต้องเจอกับความวิตกกังวลอะไรใดๆ แล้วกระนั้นหรือ? เปล่าเลย…

“เราได้ทดสอบกลุ่มชนก่อนหน้าพวกเขา และอัลลอฮนั้นทรงรู้แน่แท้ว่าใครคือผู้สัจจริงและใครคือผู้กล่าวเท็จ” (29:2-3)

ความเป็นจริงคือ อัลลอฮนั้นเคยทดสอบชนผู้ศรัทธาในยุคก่อน และพระองค์ก็จะทรงทดสอบผู้ศรัทธาในยุคปัจจุบันเช่นกัน การกล่าวว่าภาวะซึมเศร้าคือสัญญาณแห่งศรัทธาที่อ่อนแอนั้นมันเหมือนกับกำลังจะบอกว่า คนที่เจอแต่เรื่องแย่ๆ ในชีวิตนั้นเกิดจากการที่เค้าทำตัวไม่ดี ทั้งๆ ที่ความจริงมันช่างย้อนแย้งกับเรื่องราวที่เรารู้เกี่ยวกับชีวิตชนผู้ศรัทธาในยุคก่อนแทบทั้งสิ้น ที่น่าจะถูกต้องควรจะเป็น ยิ่งคุณมีศรัทธามากขึ้นเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งเจอบททดสอบมากขึ้นเท่านั้นเสียมากกว่า

ครั้งหนึ่ง ษะอัด อิบนุ อบีวะก๊อศ(ร.ฎ.)เคยถามท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ว่า

“โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ มนุษย์ประเภทใดที่จะถูกทดสอบมากที่สุด?”

ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ตอบว่า

“บรรดาศาสนทูตทั้งหลาย จากนั้นกลุ่มชนที่ดีที่สุดถัดจากนั้น และกลุ่มชนที่ดีที่สุดถัดจากนั้น บุคคลหนึ่งจะถูกทดสอบตามระดับศรัทธาที่เขามีต่อศาสนา หากความศรัทธาของเขาแข็งแกร่ง เขาจะถูกทดสอบมากกว่า และหากความศรัทธาของเขาอ่อนแอ เขาก็จะถูกทดสอบเท่าความศรัทธาที่เขามี ความเลวร้ายจะยังคงประสบกับคนหนึ่งจนกระทั่งเขาเดินบนหน้าแผ่นดินนี้โดยไม่มีบาปติดตัวใดๆ เลย”

ตราบใดที่มนุษย์เรายังคงจมอยู่กับความทุกข์ เราก็จะยังคงสับสนและไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า “บททดสอบ” และ “การลงโทษ” คนคนหนึ่งจะจมอยู่กับความทุกข์ทรมานจนไม่ยอมเข้าใจเสียทีว่า แท้จริงแล้วความทุกข์ที่เขาประสบอยู่นั้นเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวที่รอวันผ่านพ้นไป หากเขามัวแต่ตั้งคำถามเพียงว่า เขาทำอะไรผิดจึงต้องมารับบทลงโทษมากมายเช่นนี้ เขาจะไม่มีวันเข้าใจ…

ชัยฏอนชอบหลอกล่อให้เราคิดว่า “ฉันอุตส่าห์ทำทุกอย่างที่อัลลอฮสั่งใช้ให้ทำแล้วนะ ฉันรู้ดีแหละว่าฉันผิดเอง แต่ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าฉันขอโทษ แล้วทำไมพระองค์ยังทำอย่างนี้กับฉันอีก? อัลลอฮนั้นไม่ยุติธรรมเลย อัลลอฮไม่ได้มีอยู่จริง หรือจะอะไรก็ตามแต่ฉันคิดว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันทุเรศมาก และฉันก็ไม่อยากจะศรัทธาอะไรอีกต่อไปแล้ว”

นี่คือความคิดที่อันตราย และหากคุณยังไม่เปลี่ยนทิศทางความคิดก่อนที่มันจะเตลิดไปไกลกว่านั้น คุณอาจจะเหลือตัวเลือกอยู่เพียงสองทาง คือสูญเสียศรัทธาหรือไม่ก็สูญเสียชีวิตไปเลย เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะสิ้นหวังในอัลลอฮและเริ่มมองหาเหตุผลอื่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หรืออาจไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปเลยก็เป็นได้

ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า:

“จะไม่มีความเหนื่อยล้าใด หรือการเจ็บป่วยใด หรือความหม่นหมองใด หรือความโศกเศร้าใด หรือความเจ็บปวดใด หรือความทุกข์ระทมใด หรือแม้แต่เสี้ยวหนามตำเพียงน้อยนิด ประสบกับมุสลิมได้ นอกเสียจากว่าอัลลอฮประสงค์จะลบล้างบาปบางส่วนออกจากตัวเขาไป”

เพราะชีวิตคนเราต้องเจอกับความเจ็บปวด ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด และบ่อยครั้งที่มันยุ่งยากซับซ้อน ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่คุณต้องแยกแยะระหว่างบทลงโทษกับบททดสอบแล้ว สิ่งเดียวที่คุณต้องจำให้ได้ก็คือ “คุณมีปฏิกิริยาต่อสิ่งนั้นอย่างไร?”

หากคุณค้นพบว่าตนเองสามารถเผชิญหน้ากับความโศกเศร้านั้นได้ และคุณสามารถต่อสู้กับมันด้วยความช่วยเหลือจากอัลลอฮ และพยายามต่อสู้ทุกวิถีทางที่อัลลอฮกำหนดให้คุณไว้ได้ นั่นแสดงว่าสิ่งที่คุณเจออยู่นั้นคือบททดสอบที่คุณสอบผ่านมันมาได้ แม้ว่าคุณจะไม่สามารถเอาชนะความเศร้าไปได้เต็มร้อยก็ตาม ตราบใดที่คุณยังคงยืนหยัดในศรัทธาของคุณและอดทนกับมันได้ คุณจะสามารถปลดชำระบาปของตัวเองออกไปไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่ผลิใบในฤดูใบไม้ร่วง ฉันใดก็ฉันนั้น คุณยอมที่จะแลกกับความเจ็บปวดบนโลกนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งรางวัลอันยิ่งใหญ่กว่าในโลกหน้า รางวัลที่วันนั้นใครๆ ก็จะพากันอิจฉา เพราะมันจะมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ทั้งปวง…

แต่ถ้าหากคุณค้นพบว่าตนเองเผชิญกับความโศกเศร้าแล้วกลับรู้สึกโกรธเคืองไม่พอใจอัลลอฮอยู่ลึกๆ คุณปล่อยให้สถานการณ์ที่เจอค่อยๆ ผลักไสคุณให้ออกห่างจากพระองค์ คุณกลับเข้าใกล้การกระทำที่เป็นบาปเข้าไปทุกที คุณใช้วิถีแห่งบาปในการพยายามทำให้ตัวเองลืมสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น นั่นแสดงว่าบททดสอบของคุณได้กลายเป็นบทลงโทษไปเสียแล้ว วิธีการตอบสนองของคุณมีแต่จะเพิ่มความเจ็บปวดให้กับชีวิตตัวเอง ทั้งโลกนี้และโลกหน้าเลยทีเดียว…

“จงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด) ว่าจะไม่มีสิ่งใดประสบแก่เรานอกเสียจากสิ่งที่อัลลอฮได้กำหนดไว้ให้กับเราเท่านั้น พระองค์นั้นทรงเป็นผู้คุ้มครองของเรา และแด่อัลลอฮที่ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมาย(9:51)

ครั้งหนึ่งเพื่อนสนิทของฉันได้โทรศัพท์มาหาฉันด้วยความห่วงใยเมื่อได้รับรู้ว่าฉันกำลังต่อสู้กับความทุกข์บางอย่าง เธอคนนี้เคยไปศึกษาเรื่อง 99 พระนามของอัลลอฮมา และเมื่อเธอได้อ่านถึงพระนาม “อัลญะมีล” (ผู้ทรงงดงาม) เธอนึกถึงฉันขึ้นมาทันที

เธอบอกกับฉันว่า “ซีบา เธอฟังนะ…อัลลอฮนั้นคือ ‘อัลญะมีล’

พระองค์นั้นงดงามยิ่ง พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งอย่างงดงามรอบตัวเรา

พระองค์นั้นรักความงดงามนะรู้มั้ย…”

ฉันนึกไปถึงดอกไม้ นึกถึงปลา และสรรพสิ่งถูกสร้างรอบข้าง ฉันยังมองไม่เห็นประเด็น จึงตอบเธอไปว่า “แล้ว…?”

“เธอไม่เข้าใจบ้างเลยหรือ? อัลญะมีลทรงเขียนชะตาชีวิตของเธอด้วยความงดงามไม่ต่างกัน พระองค์ทรงเขียนออทิสติกให้กับชะตาชีวิตลูกชายของเธอ พระองค์ก็เขียนความงดงามไว้ในนั้นด้วย ความเจ็บปวดของเธอก็เช่นกัน พระองค์เขียนมันด้วยความงดงามนะรู้มั้ย…”

หากนั่นสะกิดใจคุณได้เหมือนกับที่มันสะกิดใจฉันได้ในวันนั้น อย่าลืมดุอาอฺขอบคุณให้เพื่อนของฉันคนนี้ด้วย ทุกวันนี้ฉันยังคงนึกถึงบทสนทนานั้นอยู่เสมอ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มมองเห็นว่าความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งในแผนการอันงดงามของอัลลอฮ แทนที่จะเข้าใจว่ามันเป็นความล้มเหลวในตัวฉันเองที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกให้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา อย่างที่ฉันเคยเข้าใจว่ามันคือสถานะที่มุสลิมที่ดีทุกคนควรจะเป็น

ฉันไม่ได้ต้องเจ็บปวดเพราะว่าฉันเป็นมุสลิมที่ไม่ดี หรือเพราะฉันจัดการกับบทลงโทษที่อัลลอฮลงทัณฑ์เนื่องจากความเลวในตัวฉันไม่ได้ แต่ฉันเจ็บปวดเพราะอัลลอฮกำลังปล่อยให้ฉันเรียนรู้ความเจ็บปวด และความเจ็บปวดเดียวกันนั่นแหละที่จะทำให้ฉันหันกลับไปหาพระองค์เพื่อบำบัดตัวเองให้หายดี

ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า:

“การงานของผู้ศรัทธานั้นช่างน่าประหลาดใจดีแท้ เพราะทุกการงานของเขานั้นล้วนดีไปหมด และมันจะไม่เกิดขึ้นกับใครได้นอกจากกับผู้ศรัทธาเท่านั้น หากสิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับเขา เขาก็จะรู้สึกขอบคุณกับมัน และนั่นก็ดีสำหรับเขา และหากสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเขา เขาก็จะรับมือกับมันด้วยความอดทน และนั่นก็ดีสำหรับเขา”

อาการซึมเศร้านั้นมักจะทำให้เรารู้สึกเหมือนจมอยู่ใต้บ่อน้ำลึก รู้สึกเกลียดความมืดแต่อยากได้อากาศหายใจและโหยหาความแข็งแกร่งเพื่อที่จะว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำให้ได้ ข้างล่างสุดในบ่อนั้นทำให้เรารู้สึกหนาวเหน็บ อ้างว้างเดียวดายและสิ้นหวังอย่างสุดกำลัง ความโศกเศร้ามันทำให้เรารู้สึกห่างไกลจากอัลลอฮ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเหมือนตัวผลักดันให้เราต้องต่อสู้หาหนทางเพื่อกลับไปใกล้ชิดพระองค์ให้ได้มากขึ้นกว่าเดิม เราจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นและหวาดกลัวน้อยลงหากเราได้รู้ว่า แท้จริงแล้วอัลลอฮตั้งใจจะจัดวางให้ชีวิตเราจมไปอยู่ใต้บ่อลึกนั้น เฉกเช่นเดียวกับที่พระองค์เคยจัดวางให้ท่านนบียูซุฟต้องอยู่ใต้ก้นบ่อลึกในสภาพเดียวกัน

อัลลอฮทรงรู้ดีว่าเราอยู่ข้างล่างนั้น และพระองค์ก็ทรงรู้ดีเช่นกันว่าเราจะสามารถผลักตัวเองขึ้นมาได้ในที่สุด เราไม่จำเป็นต้องรู้ในทุกสิ่งที่พระองค์รู้ แค่เพียงเราเชื่อมั่นในพระองค์ก็พอ…

ในบทความที่ฉันจะเขียนในวันข้างหน้า ฉันคงจะเขียนว่าตัวเองได้ค้นพบบทสรุปที่ลงตัวที่น่าพึงพอใจและตอบโจทย์ความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว ฉันสามารถจัดวางความโศกเศร้าไว้ในบริบทที่เหมาะสมด้วยการเรียกชื่อมันใหม่ว่า “บททดสอบ” ไม่ใช่บทลงโทษหรือคำสาปแช่งข้อหาประพฤติตัวเป็นมุสลิมที่ไม่ดีแต่อย่างใด ฉันคงจะสรุปได้ว่าตนเองเคยซึมเศร้ามาก่อน แต่ตอนนี้ฉันหายดีแล้ว และหากคนอย่างฉันสามารถผ่านพ้นภาวะซึมเศร้านี้ไปได้ คุณก็น่าจะทำได้เช่นกัน

แต่ในบทความนี้ ฉันคงจะต้องพูดไปตามตรงว่า ฉันยังคงเศร้าบ้างเป็นบางคราว บางทีฉันก็เศร้ามากๆ และมากจนฉันรู้สึกผิดที่รู้สึกเศร้ามากเช่นนั้น แต่ไม่ได้เศร้าเพราะโทษตัวเองที่ฉันไม่ได้เป็น “มุสลิมที่ดี” เพียงพอที่จะสามารถมีความสุขได้หรอกนะ แต่ด้วยเพราะเวลาที่ฉันมองย้อนกลับไปดูชีวิตของตัวเองในช่วงแรกๆ กับปัญหาบนโลกใบนี้ที่ตัวเองต้องพบเจอ ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ที่เคยมีความรู้สึกเช่น “น่าสงสารตัวเรานะที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง แต่ก็ยังดีที่เรามีชีวิตคู่ที่ดีมีความสุข มีเงินใช้อย่างสุขสบาย มีสวัสดิการประกันสุขภาพดีพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลตัวเองได้ และดีแค่ไหนที่ตัวเองไม่ได้มีชีวิตอยู่ในประเทศสงคราม”

ไม่มีการปลอบใจตัวเองใดๆ ที่ช่วยฉันได้เลยซักนิด ฉันสามารถนึกภาพเด็กๆ ที่เสียชีวิตในซีเรีย ในปาเลสไตน์ ในพม่าและในซูดานได้นะ แต่เมื่อใดที่ลูกของฉันเองมานั่งร้องห่มร้องไห้บนตักเพราะไม่สบายมาเป็นวันที่ 99 ใน 100 วันสุดท้าย เรื่องเล็กเพียงแค่นี้ก็ทำฉันขาดใจจะแย่อยู่แล้ว…

ฉันพยายามบอกตัวเองให้ได้ว่าหัวใจของฉันยังสบายดีไม่เจ็บปวดอะไรเสียหน่อยเลย มันยังคงทำงานได้ดีมาก และก็ยังคงทำหน้าที่ที่หัวใจดวงหนึ่งพึงกระทำได้ดีอยู่เสมอ หัวใจของฉันมันเจ็บปวดเพียงเพราะความรู้สึกเห็นใจกับความรักที่ฉันมีให้ลูกๆ มากกว่า รู้สึกเห็นใจที่พวกเขาต้องเจอบททดสอบด้วยการกำหนดของอัลลอฮเช่นนั้น หัวใจของฉันกำลังต่อสู้และรู้สึกเจ็บปวด แต่ฉันจะใช้ความเจ็บปวดเหล่านั้นเพื่อวิงวอนขอการบำบัดรักษาจากอัลลอฮ เพราะนั่นคือสิ่งที่หัวใจของฉันพึงจะทำ เพราะหัวใจของคนเรามีไว้เพื่อเจ็บปวด

และอัลลอฮก็ได้สัญญาไว้แล้วว่าจะช่วยรักษาให้หายดี….  


แปลและเรียบเรียงโดย : Andalas Farr – Halal Life Magazine
ที่มา : THE MYTH OF THE DEPRESSION-PROOF MUSLIM

อ่านเรื่องนี้แล้วคิดอย่างไร ?

About author View all posts

Andalas Farr

คุณแม่ลูกสามผู้หลงใหลงานแปลภาษาเป็นชีวิตจิตใจ และรักงานเขียน งานสอนที่เชิญชวนสู่เส้นทางแห่งความดี ไม่ได้เป็นลูกครึ่งแต่รู้สึกผูกพันกับภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ ชนิดเห็นประโยคแล้วสมองต้องประมวลภาษาโดยอัตโนมัติ Andalas จบการศึกษาระดับปริญาตรีและโทคณะมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับครอบครัว ลูก และตัวอักษร