หากย้อนมองอดีตแล้ว ฉันผูกพันกับวัฒนธรรมอินเดียมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะสมัยก่อนที่ปัตตานีบ้านฉันนั้น ผู้ใหญ่ชอบดูหนังอินเดีย เราก็พลอยติดด้วย อีกทั้งเวลามีงานเลี้ยงแต่งงานในหมู่บ้าน เขามักเปิดเพลงแขกบ้าง เพลงภาษามลายูโดยเอาทำนองเพลงแขกมาใส่บ้าง ในปัจจุบันแม้สิ่งเหล่านี้จะสร่างซาลงและเปลี่ยนแปลงไป แต่เสน่ห์ของความเป็น “อินเดีย” ยังอยู่ในใจฉันเสมอ
แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันรู้เรื่องของคนประเทศนี้มากมาย ฉันเพียงรู้สึกดีเวลาเห็นคนอินเดียใส่ชุดส่าหรีแม้เขามาอยู่ไกลถึงเมืองไทยก็ตาม สิ่งนี้ทำให้ฉันคิดว่า เขามีความรัก มีความภูมิใจในวัฒนธรรมการแต่งกายของตัวเอง ดังนั้นแม้จะไปอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้ เขาก็ยังรักษาอัตลักษณ์ของตัวเองไว้ได้
และแล้วด้วยลิขิตของพระองค์ เมื่อฉันรู้สึกว่างานที่ทำ “มันยังไม่ใช่” เมื่อเกิดอาการอยากไปที่ไหนสักแห่ง และเมื่อได้ฟังอาจารย์อนัส อมาตยกุล เล่าว่า อิสลามในอินเดียมีมา 800 กว่าปีมาแล้ว และส่วนหนึ่งของอิสลามในไทยก็ได้รับการเผยแผ่มาจากอินเดีย ทุกอย่างประจวบเหมาะเหลือเกิน ฉันลาออกจากงาน และทำให้ทริปนี้เกิดขึ้นโดยตั้งใจ เพราะเป็นการเยือนอินเดียเป็นครั้งที่สองแล้วสำหรับฉัน
คราวที่แล้วฉันไปเที่ยวเมืองเดลี พาราณสี อักรา และแคชเมียร์รวมเวลา 8 วัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันมั่นใจนัก เพราะฉันไม่ถนัดภาษาอังกฤษ นั่นหมายความว่าฉันไปด้วยใจอยากรู้ โดยยอมฝ่ากำแพงแห่งภาษานั้น และที่สำคัญ อินเดียเป็นประเทศที่ใหญ่ การไปเที่ยวแค่ครั้งเดียวไม่ได้ช่วยให้กลายเป็นเซียนได้ หากแต่จะช่วยลดความตื่นตระหนกได้เท่านั้นเอง
เมื่อตัดสินใจ ขอวีซ่าและเตรียมตัวพร้อมแล้ว ฉันก็ไม่รีรอ ออกเดินทางปลายธันวาคมถึงต้นมกราคมที่ผ่านมา โดยมีเพียงกระเป๋าแบ็กแพ็ค 1 ใบ ใช้วลาเที่ยวอินเดีย 19 วัน แบ่งเป็น เดลี 8 วัน จัยปูร 6 วัน อักรา 3 วัน และแคชเมียร์ 2 วัน ที่ต้องลุยเดี่ยวเพราะว่า อินเดียยังไม่ป๊อปปูล่าเหมือนญี่ปุ่น หรืออีกหลายๆ ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเจริญแล้ว หลายคนมองว่าอินเดียน่ากลัว สกปรก ไม่มีสิ่งเจริญหูเจริญตา ต่างๆ นานา คนรอบข้างจึงไม่มีใครอยากไปด้วย แต่การลุยเดี่ยวหาได้เป็นอุปสรรคสำหรับฉันเลย ก็ได้ข้อคิดสะกิดใจจากการเดินทางครั้งนี้พอสมควร
ความจริงจากการสัมผัสและความรู้สึกจากการตะลอนอินเดีย 19 วันคือ
1- คนอินเดียไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
เวลาฉันเข้าร้านอาหาร เขาพยายามเอาใจใส่อย่างดี หาช้อนให้บ้าง (เพราะอาหารหลายอย่างเขากินกับมือ) ถ้าร้านเล็กก็หาเก้าอี้ให้นั่งบ้าง ตอนนั่งรถไฟจากจัยปูรไปอักรา ฉันเลือกตู้นอนเตียงบนและหลับตลอดทาง พอใกล้ถึงมีผู้หญิงอินเดียมาปลุกให้ด้วย ถ้าชีไม่ปลุกฉันคงนอนยาวจนเลยป้ายแน่ๆ
คนอินเดียมักถูกมองว่าน่ากลัว แต่ฉันคิดว่าความเข้มของสีผิวต่างหากที่ทำให้เรามองว่าเขาน่ากลัว ที่สำคัญ แขกขาวหน้าตาดี ร่างสูงโปร่ง ก็มีให้เห็นเช่นกัน โดยเฉพาะที่แคชเมียร์มีแต่หนุ่มหล่อสาวสวย
2- อาหารอินเดีย แม้เครื่องเทศแรงแต่เอาเข้าจริงอร่อยมาก
ฉันลองกินไก่ย่างกับโรตีบ้าง ไก่ทอดโรยเครื่องเทศสไปซี่กับโรตีบ้าง ซึ่งโรตีที่กินมีลักษณะบาง นิ่ม ยิ่งกินขณะยังอุ่นภายใต้บรรยากาศหนาวๆแล้วรู้สึกฟินมาก รสชาติอาหารที่นิวเดลีอร่อย จัดจ้าน ส่วนเมืองจัยปูรกับอักรา และแคชเมียร์ออกเค็ม ที่สำคัญเขาไม่ได้กินเฉพาะโรตี แต่กินข้าวด้วย เพียงแต่คนละพันธุ์กับข้าวไทย
3- เสียงแตรกับความปลอดภัย
การบีบแตรซึ่งหากไม่เคยฟังแล้วจะรู้สึกรำคาญหูมากๆ แต่แท้จริงแล้วคือสัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่ง และทำให้รู้สึกขอบคุณมากกว่าโมโห เมื่อเรารอดจากการถูกชนด้วยเสียงแตรนี้ คนอินเดียส่วนใหญ่ขับขี่รถแบบโฉบเฉี่ยวเฟี้ยวมาก ที่สำคัญบนถนนที่อินเดียมักมียานพาหนะทุกแบบตั้งแต่เกวียนยันรถออดี้
4- มุสลิมอินเดีย
มุสลิมมะฮฺส่วนใหญ่จะใส่ชุดอาบายะฮฺปิดหน้าปิดตา บุรุษผู้เคร่งในศาสนาส่วนใหญ่จะใส่ชุดปากีฯ ไว้หนวดเครายาว หน้าผากมีรอยคล้ำจากการเคร่งในละหมาด ดูแล้วเห็นรัสมีเปล่งสว่างกันทุกคน แต่มีบางส่วนที่ใส่ชุดทั่วไป
5- ขอทานกับน้ำใจงามๆ ของผู้คน
ระหว่างที่พักอยู่เดลี มีภาพหนึ่งที่ติดตาฉันมากคือ ร้านอาหารบางร้านมีขอทานหลายคนมานั่งรอขอข้าวกินอยู่หน้าร้านเต็มเลย เจ้าของร้านใจดีไม่ไล่เขาเหล่านั้น แถมแบ่งข้าวให้กินเป็นช่วงๆ สำหรับคนไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว มันเป็นภาพที่ชวนคิดอย่างยิ่ง เพราะหากเป็นกรุงเทพฯ คนจรเหล่านั้นคงถูกตะเพิดไล่ไม่มีที่ให้ยืนแล้ว
6- ศรัทธาที่สื่อผ่านผลงาน
สถาปัตยกรรมอินเดียสวยงามและละเมียดละไมมาก สังเกตได้จากสิ่งก่อสร้างที่เป็นโบราณสถาน โดยเฉพาะที่สร้างในสมัยราชวงศ์โมกุล ลวดลายอ่อนช้อย ส่วนใหญ่เป็นลายดอกไม้ งดงามอลังการเกินพรรณา
ราชวงศ์โมกุลเป็นยุคที่อิสลามเฟื่องฟู นอกจากสถาปัตย์ที่งามแล้ว มักมีภาษาเปอร์เซียและเนื้อความในคัมภีร์อัลกุรอานสลักหรือผสมอยู่ในผลงานด้วย ดูแล้วชวนซึ้งใจ ได้เห็นว่า ความมีอารยะของคนอินเดียเขามีมานานเป็นร้อยพันปีแล้ว ที่สำคัญ อิสลามก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในผลงานดังกล่าว บ่งบอกได้ว่า ศรัทธาเขาเข้มข้นจนกลั่นเป็นผลงานให้มนุษย์โลกได้สัมผัสจริง
สถานที่เก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามในเดลีได้แก่ มัสยิดจามา หลุมฝังศพกษัตริย์ฮูมายูน กูตุปมีนาร์ เป็นต้น หรือหากใครมีเวลาไปชมทัชมาฮาล จะเห็นได้ว่าลวดลายรอบๆ ผนังของอาคาร นอกเหนือจากลายดอกไม้อันอ่อนช้อยแล้ว มีการสลักอัลกุรอานไว้อย่างสวยงาม
7- ผู้หญิงตัวคนเดียวเที่ยวอินเดียไม่น่ากลัวหรอกหรือ
ฉันคิดว่าคนดีและไม่ดีมีอยู่ทุกที่ในโลก สำคัญที่ว่า หากเราไปคนเดียว เราตั้งใจไปแบบไหนและเซฟตัวเองแค่ไหนเท่านั้นเอง และเชื่อว่าหากเรามีสติและไม่ปฏิเสธสัญชาตญาณ เราไปได้ทุกที่ของโลกใบนี้ จริงไหมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือฉันไปเที่ยวอินเดียและกลับมาได้อย่างปลอดภัย
ข้อคิดปิดท้าย
ในวันที่วัยรุ่นทะเลาะกันได้เพียงเพราะการจ้องมองตากัน ในวันที่เรานุ่งห่มเสื้อผ้าฟิตเปรี๊ยะทั้งๆ ที่คำสอนเดิมไม่ได้สอนไว้เช่นนั้น ในวันที่เราท้อตั้งแต่สู้ได้เพียงครึ่งทาง หรือวันที่เราลืมคนยากลำบาก หากได้ไปเยือนอินเดียสักครั้ง ฉันเชื่อว่า ช่วยสะกิดความความคิดของหลายๆ คนได้ ไม่มากก็น้อย
ฉันเชื่อว่า การออกไปสัมผัสโลกที่กว้างใหญ่ที่พระองค์ทรงสร้างไว้นี้ จริงๆ แล้วมันได้มากกว่าการเซลฟี่รูปสวยๆ แล้วลงโซเชียลให้คนมากดไลค์ แต่มันคือการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าใจสัจธรรมของการมีชีวิตมากขึ้น การออกสู่โลกกว้างทำให้เราลดอัตตาลง เพราะเราจะเห็นว่าตัวเรามันเล็กมากๆ เกินกว่าที่จะเบ่งตัวเองให้ดูตัวโต แต่ถึงกระนั้นไม่ได้หมายความว่าให้เราทำตัวลีบๆ หากแต่เราควรใช้ชีวิตโดยไม่หยิ่งยะโสโอหัง อวดตนในความรู้และความมั่งมีของตัวเอง
เพราะแท้จริงแล้ว ทุกคนล้วนมีทั้งจุดเด่นและด้อย จุดเด่นคือสิ่งที่ควรนำใช้ในสร้างสรรค์สังคมไปด้วยกัน หาใช่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง ส่วนจุดด้อย คือสิ่งที่เราควรประคับประคอง เติมเต็มกันและกัน หากทำได้เช่นนี้ โลกนี้คงน่าอยู่เชียว
ที่สำคัญบ่อยครั้งระหว่างเดินทางทำให้ฉันรู้สึกว่า “โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินแหลมทอง ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ เสื้อผ้าแบบเดียวก็ใส่ได้ตลอดปีโดยไม่ต้องผลัดเปลี่ยนตามฤดูกาล แม้จะมีหนาวบ้างก็ตาม”
เรื่องและภาพโดย : Mayuree Bing