fbpx

บันทึกของคนเป็นหมอที่ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งร้ายของตัวเอง

ฉันชื่อ Milad Hilli อายุ 28 ปี เป็นหมอที่กำลังฝึกทักษะวิชาชีพเพื่อเตรียมตัวเป็นแพทย์ทั่วไป (GP) ฉันเป็นลูกสาว เป็นคู่หมั้น เป็นพี่สาว น้าสาว และเป็นเพื่อนคนหนึ่ง นี่คือเรื่องราวการดิ้นรนต่อสู้โรคมะเร็งร้ายจากประสบการณ์ และเส้นทางก้าวต่อไปของชีวิตเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ที่ฉันต้องเจอ

เรื่องราวเริ่มขึ้นได้อย่างไร?

เรื่องราวชีวิตของฉันเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์หนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 ขณะที่ฉันกำลังทำงานอยู่ในโรงพยาบาลแผนกสูตินรีเวช ฉันเจอกับผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่มาในสภาพตกเลือดในช่วงระยะแรกของการตั้งครรภ์ เด็กสาวคนนี้ป่วยเป็นไข้หวัดรุนแรง ฉันต้องดูแลรักษาเธออยู่หลายวันกระทั่งฉันติดหวัดจากเธอไปด้วย ตัวฉันเองเริ่มป่วยและมีไข้ เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหายติดต่อกันนานหลายสัปดาห์หลังจากนั้น ฉันมีอาการเหงื่อออกในตอนกลางคืนและคันไปทั่วร่างกาย ฉันพยายามทำเป็นไม่สนใจต่ออาการป่วยของตัวเองและสรุปง่ายๆ ว่าตัวเองเพียงติด “เชื้อไวรัส” เท่านั้นไม่มีอะไรมากมาย

ฉันยังคงทำงานต่อไปตามปกติแถมยังไปนั่งสอบได้อีกราวกับไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น สุขภาพของฉันเริ่มไม่ค่อยดีแต่ฉันเลือกที่จะเมินเฉยกับสัญญาณเตือนเหล่านั้น มั่นใจว่าจะเอาชนะมันได้และคิดว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยไข้เจ็บดีพอ จนกระทั่งวันที่ 29 เมษายน 2016 ในขณะที่ฉันกำลังจะหมดเวรกลางคืนที่โรงพยาบาล เพื่อนร่วมงานของฉันคนหนึ่งไม่ยอมให้ฉันกลับบ้านจนกว่าจะยอมให้ตรวจสุขภาพ การตรวจครั้งนั้นคือการเอ็กซเรย์หน้าอกที่แสดงให้เห็นว่ามี “เงา” อยู่บริเวณหน้าอกของฉัน ต่อด้วยการซีทีสแกนร่างกายแบบฉุกเฉินที่ยืนยันว่ามีร่องรอยความผิดปกติกับร่างกายส่วนบนของฉันด้วย ภายในหนึ่งสัปดาห์นั้นฉันพบว่าตัวเองจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื้อเยื่อจากต่อมน้ำเหลืองเพื่อตรวจวินิจฉัย และสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นได้เปลี่ยนชีวิตของฉันไปตลอดกาล….

ผลการวินิจฉัยยืนยันออกมาว่าฉันเป็นโรค Hodgkins Lymphoma ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของโรคมะเร็งในเม็ดเลือด วันนั้นฉันกลับบ้านเปิดคอมพิวเตอร์แล้วเริ่มเขียนบันทึก ฉันอยากระบายความรู้สึกของตัวเอง อยากแบ่งปันการเดินทางของชีวิต และอยากสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับโรคร้ายนี้ที่ไม่ค่อยเป็นที่กล่าวถึงนัก นี่คือจุดเริ่มต้นของเว็บบล็อก ‘Listen To Your Body’ ที่ฉันสร้างขึ้นไว้เพื่อเขียนบันทึกการเดินทางของชีวิตตลอดช่วงเวลา 12 เดือนหลังจากนั้น …

เส้นทางขรุขระสู่ความทุเลา

ฉันต้องรับศึกกับโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่องมาจวนหนึ่งปีแล้ว ต้องเข้ารับการบำบัดรักษาไม่รู้จบ นับตั้งแต่การผ่าตัด การรักษาภาวะเจริญพันธุ์ ไปจนถึงการทำเคมีบำบัดแบบ ABVD ฉันต้องเข้ารับการเคมีบำบัดที่แสนเหนื่อยล้าถึง 6 รอบที่แบ่งออกเป็น 12 ครั้งในทุกๆ สองสัปดาห์นานติดต่อกัน 6 เดือน เส้นทางสายนี้มันช่างห่างไกลจากคำว่าราบรื่นนัก ฉันต้องเจอกับภาวะแทรกซ้อนมากมาย รวมไปถึงเส้นประสาทถูกทำลายตรงบริเวณปลายนิ้วอันเป็นผลข้างเคียงมาจากการทำเคมีบำบัด มีภาวะลิ่มเลือดเกาะตัวตรงบริเวณไหล่ขวา และการต้องนอนโรงพยาบาลเนื่องจากมีภาวะติดเชื้อขั้นรุนแรงที่เสี่ยงต่อชีวิต

เวลาผ่านไปจวนแปดเดือน ปรากฏว่าผลการสแกนออกมาว่าฉันหายป่วยจากโรคมะเร็งแล้ว ในขณะที่หมอหลายท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอาการของฉันเริ่มทุเลาลงและดีขึ้น ฉันร้องไห้น้ำตาเป็นสายฝน ฉันฝ่าฟันทุกปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต จนรู้สึกเหมือนห่วงโซ่ที่ล่ามตรวนลมหายใจของฉันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้นได้หลุดไปเสียที ความตื่นเต้นและปลื้มปีติยินดีของฉันและครอบครัวต่อข่าวดีนี้มันช่างเหลือล้นเกินคำบรรยาย แล้วชีวิตของฉันก็ค่อยๆ ดีขึ้นจนฉันสามารถกลับสู่ “ภาวะปกติ” – นั่นคือการได้ออกไปข้างนอกมากขึ้นและมีความสุขกับทุกช่วงเวลาแห่งอิสรภาพ ฉันมั่นใจว่านี่จะต้องเป็นปีที่ดีสำหรับฉันแน่นอน ฉันกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลแห่งเดียวกันกับที่ฉันเคยเข้ารับการรักษา หนำซ้ำฉันยังมีเวลามากพอที่จะเริ่มเตรียมการสำหรับงานวิวาห์ที่เราวางแผนไว้เป็นวันที่ 23 สิงหาคม 2017 ฉันรู้สึกซาบซึ้งและดื่มด่ำกับความหอมหวานในชีวิตอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

แล้วฝันร้ายก็กลับมาอีกครั้ง

ไม่ต่ำกว่าสี่เดือนหลังจากนั้น วันที่ 3 พฤษภาคม 2017 เป็นวันที่ฉันต้องเจอกับจุดเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนในชีวิต โรคมะเร็งร้ายได้กลับมาเยือนฉันอีกครั้ง ฉันต้องได้รับการบำบัดรักษาที่โรงพยาบาลอย่างจริงจังโดยด่วน ความรู้สึกมันทิ่มแทงหัวใจเป็นครั้งที่สองเมื่อได้รู้ว่าตัวเองนั้นป่วยอีกครั้ง ฉันบอกกับหมอไปว่าฉันมีผื่นลมพิษขึ้นทั่วเรือนร่าง หมอจึงจัดการให้ฉันสแกนร่างกายเพื่อตรวจให้แน่ใจอีกครั้ง (ซึ่งตอนนั้นเราทั้งสองต่างก็ไม่ได้พะวงอะไรมากนัก) มันดูเหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษหรืออาจเป็นแค่ผื่นลมพิษจากอาการแพ้เท่านั้น ฉันสังเกตว่าตัวเองน้ำหนักลดลงแต่ก็ยังคิดว่านั่นน่าจะมาจากการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยความที่คิดว่าโอกาสที่โรคเก่าจะกลับมากำเริบใหม่มีน้อยมาก ฉันจึงใช้ชีวิตอย่างปกติสุขทุกอย่างในระหว่างเฝ้ารอผลการวินิจฉัยเพื่อยืนยัน

ฉันไม่เคยลืมวันที่รับโทรศัพท์สายหนึ่งในวันนั้น วันที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตฉัน…อีกครั้ง ฉันกำลังออกไปซื้อของกับแม่เพื่อเตรียมจัดงานฉลองที่เพื่อนๆ ร่วมกันจัดขึ้น ระหว่างทางฉันได้รับสายจากเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งซึ่งทำงานที่แผนกอัลตราซาวนด์ในโรงพยาบาลที่ฉันทำงาน เธอโทรมาเพื่อจะบอกให้ฉันรีบเข้ามาพบแพทย์โดยด่วนเพื่อนัดตรวจเนื้อเยื่อในก้อนเนื้อที่ปรากฏในผลสแกน ตอนนั้นฉันยังไม่ทราบผลใดๆ มันจึงทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจเป็นที่สุด แต่เนื่องจากกังวลกับน้ำเสียงของฉัน เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงขอวางสายลงอย่างสุภาพ ฉันบอกแม่ให้หยุดรถแล้วเล่าสิ่งที่ฉันได้ยินให้ท่านฟัง แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสายจากแพทย์รังสีวิทยา เขาขอร้องให้ฉันรีบมาโรงพยาบาลทันทีเพื่อทำการตรวจเนื้อเยื่อโดยด่วนที่สุด แม่ของฉันจึงเลี้ยวรถกลับทันที แล้ววันนั้นทั้งวันก็เป็นวันที่ปลุกฝันร้ายให้ตื่นมารังควานชีวิตฉันอีกครั้ง…

ข่าวการกำเริบของอาการเดิมทำให้ฉันเข่าอ่อนแทบทรุด มันทำให้ฉันเจอกับช่วงเวลามืดบอดที่สุดในชีวิต ฉันรู้ตัวดีว่าก่อนหน้านี้ฉันเป็นคนที่เข้มแข็งเสมอ เป็นคนที่ไม่เคยย่อท้อกับอุปสรรคในชีวิต และการต่อสู้กับโรคมะเร็งที่ผ่านมาก็เป็นอะไรที่ฉันมองในด้านบวกเสมอ พูดกันตรงๆ จากใจ ฉันไม่เคยร้องไห้หรือรู้สึกเจ็บปวดอะไรมากมายเท่ากับได้ทราบข่าวการกลับมาของโรคมะเร็งร้ายอย่างครั้งนี้เลย เพราะความที่ไม่เคยคาดคิด เพราะด้วยรูปแบบของการทราบข่าวในครั้งนี้ และด้วยประจวบเวลาของหลายสิ่งที่เกิดขึ้นมันจึงยากที่ฉันจะพยายามเข้าใจความเป็นจริง หลังจากที่ได้รับรู้ข่าวร้ายนั้นฉันเริ่มเห็นภาพการสูญเสียทุกสิ่งอย่างถาโถมเข้ามาในสมองอีกครั้ง ใจหนึ่งก็คิดโทษตัวเองว่าฉันไม่น่าเจอกับช่วงเวลาที่ชีวิตหายดีเป็นปกติสุขก่อนหน้านี้เลย เพราะมันเป็นเรื่องยากมากมายที่จะต้องฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นมาสู้รบกับศึกอีกครั้งในเวลาที่เราเข้าใจไปเองว่าเราได้ล้มข้าศึกไปแล้ว….

แต่เมื่อมองย้อนกลับไปอีกครั้ง ฉันกลับรู้สึกขอบคุณช่วงเวลาแห่งความปกติสุขในครั้งนั้นที่ยังพอมีพื้นที่ให้ฉันได้หายใจ จนฉันเริ่มเข้าใจว่าฉันควรจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต ฉันเคยเอาชนะมันได้ ทำไมครั้งนี้ฉันจะทำไม่ได้ และตอนนี้ฉันก็ได้มาอยู่ในโรงพยาบาลอีกครั้ง…ในสภาพที่พร้อมจะสู้รบกับมะเร็งร้ายทั้งกายและใจ ที่พร้อมจะสู้เพื่อชีวิตฉัน ที่พร้อมจะสู้อีกครั้งในช่วงเวลาที่ห่างออกไปแค่ปีเดียว…

บำบัดอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันฉันอยู่โรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการเคมีบำบัดแบบ ESHAP ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น จนฉันต้องยอมเป็นผู้ป่วยในนอนค้างคืนที่นั่นในที่สุด ตลอดการทำเคมีบำบัดที่ผ่านมาฉันมักจะมาโรงพยาบาลแค่หนึ่งวันเพื่อทำการรักษาเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้วกลับบ้านได้ แต่ครั้งนี้ฉันจำเป็นต้องได้รับการเคมีบำบัดทางสายน้ำเกลือตลอด 24 ชั่วโมงห้ามหยุดเป็นระยะเวลา 5 วัน ฉันจะกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อฉันหายดีพอ และต้องนอนพักผ่อนที่บ้านนานสามสัปดาห์แล้วกลับมานอนที่โรงพยาบาลใหม่อีกครั้ง ซ้ำๆ อย่างนี้อยู่เรื่อยไป

หลังการบำบัดรักษาเสร็จหากโรคมะเร็งของฉันมีการตอบสนองต่อการทำเคมีบำบัดแล้ว ฉันจะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งเพื่อเข้ารับการเคมีบำบัดขั้นต่อไปด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก  ณ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายและรวดเร็วเกินไปจนฉันรู้สึกสับสนที่ต้องมารับรู้ข้อมูลทั้งหมดในคราวเดียว ฉันยังคงอยู่ในภาวะตกใจ  จนบางครั้งฉันกลับพบว่ามันดีเสียอีกที่ฉันจะรับรู้เรื่องราวที่เข้ามาในแต่ละวันทีละอย่างไป

อยู่เพื่อวันนี้

กาลเวลาผ่านไป ฉันเริ่มเชื่อมั่นและแน่ใจยิ่งขึ้นว่าพระเจ้านั้นไม่เคยมอบภาระให้ใครมากเกินกว่าที่คนนั้นจะรับได้ อุปสรรคและความยากลำบากของแต่ละคนล้วนต่างกันออกไป ฉันค้นพบว่าการเปรียบเทียบโชคชะตาของคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูก เพราะความทุกข์ของแต่ละคนล้วนสัมพันธ์กับความเป็นตัวของเขาเอง และไม่มีเส้นทางชีวิตใดที่เหมือนกันไปเสียทั้งหมด เราทุกคนล้วนแตกต่างกันและการตอบสนองของเราแต่ละคนนั้นขึ้นอยู่กับทัศนคติและมุมมองทั้งสิ้น ฉันพยายามเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าฉันนั้นโชคดีแค่ไหนที่พระเจ้าได้ประทานสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตมากมาย มันเป็นเรื่องง่ายที่เราอาจจะเผลอไปโฟกัสมุมมองด้านแย่ของชีวิต แต่กระนั้นแม้ในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดเราก็ยังสามารถมองสิ่งต่างๆ ผ่านแสงสว่างด้านบวกได้ หากเราเลือกที่จะมอง….

ฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจกับตัวเองและก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองนั้นโชคร้ายอะไรเลย ฉันตระหนักดีว่าตัวเองนั้นช่างโชคดีกว่าใครหลายคนอีกมากมาย และฉันก็รู้สึกขอบคุณเหลือเกินกับศรัทธาที่ฉันมีต่อพระเจ้าที่ช่วยให้ฉันเข้มแข็งและลุกขึ้นสู้สิ่งต่างๆ ได้ ตลอดจนกำลังใจดีๆ จากครอบครัวและเพื่อนรักรอบตัว ฉันขอบคุณที่ได้มีที่อยู่อาศัย ขอบคุณที่ได้อยู่ในประเทศที่ปลอดภัย ขอบคุณการศึกษาที่ฉันได้รับตลอดที่ผ่านมา ขอบคุณสัมผัสทั้งห้าที่ฉันละเลยมันง่ายนักทั้งๆ ที่มันได้มอบสิ่งดีๆ ให้กับฉันมากมาย สิ่งดีๆ ในชีวิตที่เราได้รับนั้นมันช่างยิ่งใหญ่กว่าความทุกข์ยากที่เราเผชิญมากมายนัก และชีวิตมันช่างสวยงามเหลือเกินหากเราเลือกที่จะมองในมุมนั้น อย่างที่บอกไปว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับมุมมองและทัศนคติ ชีวิตฉัน ณ ตอนนี้มีความสุขและรู้สึกสงบมากกว่าเมื่อก่อนมาก แม้ว่ามันจะดูขมขื่นแต่ฉันก็ไม่คิดที่จะโรยน้ำตาลเพื่อแต่งแต้มเส้นทางชีวิตและความเจ็บป่วยของฉันให้ดูดีมากไปกว่าความเป็นจริงเลย มันเป็นเรื่องยากมาก มากเกินกว่าที่ฉันจะสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ฉันรู้ตัวดีว่าฉันป่วยมากๆ แต่กระนั้นฉันก็รู้ว่าตัวเองจะกลับมาดีขึ้นได้เช่นกัน….

สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วคำว่าโรคมะเร็งอาจเป็นสิ่งที่น่ากลัว และมักจะถูกโยงกับความสิ้นหวังและความตาย ในฐานะแพทย์ฉันกลับมองว่ามันเป็นเพียงแค่โรคชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรจากโรคทั่วไป ฉันเข้ามาอยู่ในวงการแพทย์เพียงเพื่อเหตุผลเดียว นั่นก็คือการได้ช่วยเหลือผู้อื่นและได้ตอบแทนสังคม แต่โชคไม่ดีของแพทย์หลายๆ คนรวมไปถึงตัวฉันด้วยที่นานวันเข้าเรากลับรู้สึกด้านชากับสิ่งเหล่านี้ ผู้ป่วยกลายเป็นเพียงแค่ตัวเลขจำนวนนับในขณะที่โรคภัยไข้เจ็บนั้นกลับเป็นเพียงแค่สถิติทั่วไป แต่เมื่อใดที่คุณได้มีโอกาสอยู่ “อีกด้านหนึ่ง” และลองสลับบทบาทหน้าที่ของการเป็นแพทย์กับผู้ป่วยแล้ว มันจะเปลี่ยนมุมมองของคุณไปโดยสิ้นเชิง ฉันรู้สึกว่าชีวิตตัวเองได้เปลี่ยนบทบาทตรงนั้น และหนึ่งในหลายเหตุผลที่ฉันต้องเข้ามาเดินอยู่ในเส้นทางนี้ก็คือการได้มีโอกาสเป็นแพทย์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ความเจ็บป่วย โรคมะเร็งหรืออะไรต่างๆ นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต นัยยะสำคัญที่พ่วงแถมมากับสิ่งเหล่านั้นต่างหากที่ยิ่งใหญ่กว่า โรคมะเร็งที่ฉันต้องพบเจอได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของฉัน ต่อครอบครัว ต่องาน และเกือบจะทุกสิ่งในชีวิตก็ว่าได้ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีฉันต้องยกเลิกงานวิวาห์ของตัวเองไปถึงสองครั้ง ต้องยอมทิ้งงานที่ฉันรักเป็นเวลานานๆ ถึงสองครั้ง ต้องเผชิญกับการสูญเสียผมไปทั้งศีรษะ และทนเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายตัวเองอันเป็นผลพวงจากอาการของโรคมะเร็งถึงสองครั้งในชีวิต ด้วยสุขภาพที่ไม่เป็นใจทำให้ฉันไม่สามารถร่วมเป็นพยานในหลายๆ ความทรงจำกับคนสำคัญในชีวิต ซึ่งรวมไปถึงครั้งที่สำคัญที่สุดอย่างงานหมั้นและงานวิวาห์ของน้องสาวตัวเองอันเนื่องจากต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล มีบ้างที่ฉันพยายามลดความสำคัญของบางสิ่งลงไป แต่มันไม่ง่ายทุกวัน ชีวิตมันมีเรื่องราวอุปสรรคที่ต้องต่อสู้และรับมือมากมายทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา ถ้าไม่ได้ความรักจากพระเจ้าและกำลังใจจากคนรักรอบตัวแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่เข้มแข็งได้เช่นทุกวันนี้…

ฉันค้นพบว่าการรักษาโรคมะเร็งนั้นช่างเลวร้ายกว่าตัวโรคมะเร็งเองเสียด้วยซ้ำ ผลข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดมันทำให้รู้สึกไม่น่าให้อภัยเลย และบางครั้งมันก็แย่มากจนทำให้หมดความหวังและกำลังใจจะสู้ต่อไป อย่างตอนนี้ที่ฉันต้องเริ่มทำเคมีบำบัดใหม่ ชีวิตฉันกำลังเริ่มเผชิญกับผลข้างเคียงอันแสนหดหู่ทีละนิดเช่นครั้งก่อนที่เคยสัมผัสมา ไม่ใช่แค่ร่างกายของฉันที่รู้สึกเจ็บระบมราวกับถูกคนเฆี่ยนตี แต่สิ่งที่ฉันต้องต่อสู้หนักที่สุดคือความเจ็บปวดอันแสนสาหัสภายในช่องปากและริมฝีปากที่ทำให้แม้การดื่มน้ำก็เป็นเรื่องแสนทรมาน ดีหน่อยที่อาการป่วยของฉันสามารถจัดการได้ในระดับหนึ่งด้วยเพราะฤทธิ์ยาที่ดีและด้วยความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ที่ดูแลรักษาฉันเป็นอย่างดี

ฉันค้นพบว่าบางครั้งมนุษย์เราก็มักจะมองข้ามและละเลยสิ่งดีๆ เล็กๆ ในชีวิตอย่างการได้นอนหลับสบายโดยไม่ต้องพยายามหาท่านอนที่ไม่ทำให้ตัวเองเจ็บปวด หรือสิ่งเล็กๆ อย่างการสามารถลิ้มรสชาดอาหารหรือการเลียริมฝีปากหรือกลืนน้ำดื่มได้อย่างปกติง่ายดาย ตลอดช่วงการเคมีบำบัดที่ผ่านมาฉันต้องเจอกับอาการคลื่นไส้และอาเจียนบ่อยครั้งมาก บางครั้งฉันอาเจียนนานหลายวันจนทำให้ร่างกายของฉันอ่อนแรง และที่แย่คือไม่มีตัวยาใดสามารถช่วยตรงนี้ได้เลย ตอนนี้ที่ฉันเพิ่งได้เริ่มการเคมีบำบัดอีกครั้งฉันยังไม่ต้องเจอกับผลข้างเคียงอะไรมากนัก ฉันจึงพยายามไม่คิดถึงมันและอยู่กับความรู้สึกขอบคุณในแต่ละวันที่เข้ามาและผ่านไป

มีคนเตือนฉันว่าให้เตรียมตัวรับมือกับผลข้างเคียงที่ใกล้จะมาถึงอีกครั้ง ซึ่งรวมไปถึงการสูญเสียผมไปทั้งศีรษะภายในห้าถึงสิบวันที่จะถึงนี้…. แต่ฉันเลือกที่จะเตรียมใจอยู่กับปัจจุบันมากกว่า ฉันเลือกที่จะพยายามอยู่กับวันนี้และทุกวินาทีที่ผ่านเข้ามา แต่ก็พร้อมเสมอที่จะเจอกับสิ่งที่พรุ่งนี้จะนำพา…

ตั้งตารอคอย

งานวิวาห์ของฉันคือสิ่งที่ฉันเคยได้เอ่ยถึงมาบ้างแล้วในบล็อกก่อนหน้านี้ ผู้หญิงทุกคนต่างก็ฝันอยากมีวันสวยงามอย่างในนิทานกันทั้งนั้น ตัวฉันเองก็ไม่เว้น  ฉันรู้สึกว่าทุกตอนของชีวิตฉันนั้นคือการต่อสู้ดิ้นรนเหลือเกิน ฉันแค่อยากเป็นอย่างที่เจ้าสาวทั่วไปได้เป็นกัน ได้แต่งหน้าทำผมใส่ชุดเจ้าสาวสวยเป็นพิเศษและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคู่ชีวิตตลอดไป ฉันเต็มที่กับการเตรียมงานแต่งถึงสองครั้งและใส่ใจกับทุกรายละเอียดมาก แต่ครั้งที่สองมันกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงพรมสีแดงออกจากขาตรงตำแหน่งที่ฉันยืน ฉันไม่รู้จะเริ่มอธิบายความเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ดูเหมือนว่าฉันและคู่หมั้นและคนรักใกล้ตัวเราเท่านั้นที่คอยพยายามต่อสู้กับบริษัทจัดงานวิวาห์ที่เราเคยจ้างวาน บริษัทที่ไม่ต่างอะไรกับหลายแห่งทั่วไปที่พยายามจะหาข้ออ้างว่าไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขของลูกค้าได้ ซึ่งในกรณีของฉันคือการที่ฉันต้องยกเลิกก่อนหน้านี้เนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็ง และในขณะเดียวกันเราก็กำลังพยายามเจรจาข้อต่อรองทางการเงินกับฝ่ายจัดสถานที่ที่เราเคยเซ็นสัญญาตกลงเงื่อนไขจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในกรณียกเลิก เงินทองก็ไม่ต่างอะไรกับของนอกกายอื่นๆ ที่มีวันเข้ามาและออกไปและไม่มีคุณค่าที่แท้จริงใดๆ เลย แต่สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของภาระที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหนึ่งความเจ็บป่วย สำหรับคนที่มองดูเรื่องราวชีวิตของฉันจากภายนอกคงจะรู้สึกว่ายิ่งรับรู้ก็ยิ่งเจอกับฝันร้ายไม่รู้จบเสียที แต่จะอย่างไรฉันก็ยังคงเชื่อมั่นและแน่วแน่ว่าแม้จะต้องเจอกับปัจจัยที่น่าวิตกเหล่านี้ ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นเพื่อเหตุผลบางอย่าง และสิ่งที่ดีที่สุดจากตรงนั้นยังมาไม่ถึงต่างหาก หาใช่ว่ามันไม่มี…

ฉันพบว่าตอนหนึ่งของอัลกุรอานที่มีพลังยิ่งนัก

“พวกเขาวางแผน และอัลลอฮก็วางแผน และแน่นอนอัลลอฮนั้นคือผู้วางแผนที่ดีที่สุด”     (8:30)

 

แม้เราจะรู้สึกว่าเราตระหนักและเข้าใจชีวิตได้ดีและยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างมันต้องเพอร์เฟ็กต์และลงตัวมากเท่าใด…บางครั้งแค่หนึ่งเสียงเรียกจากสายโทรศัพท์ก็สามารถทำให้ชีวิตคุณที่ยืนแกร่งสวยงามเป็นอันต้องล้มลง และเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือก็เป็นได้ แต่กระนั้นก็ขึ้นอยู่กับ ‘คุณ’ เพียงคนเดียวที่สามารถฉุดชีวิตตัวเองกลับขึ้นมาใหม่ในสภาพที่ดีหรือไม่ หรือยิ้มสู้ต่อไปท่ามกลางความมืดมิดและเอาชนะทุกความแปลกแยกในชีวิตให้ได้ ส่วนตัวฉันตอนนี้คงต้องเลือกปิดโทรศัพท์เพื่อให้เวลากับการพักผ่อนที่จำเป็นยิ่งกว่า แต่ฉันอยากทิ้งท้ายให้คุณตรงนี้ด้วยความหวัง ความสุข และความเจิดจรัสของการคิดบวก การต่อสู้กับโรคมะเร็งของฉันอาจดูเหมือนเพิ่งเริ่มต้น แต่ฉันก็สามารถเอาชนะมันได้แล้วด้วยร่างกายและสติปัญญา ฉันมีกองกำลังสำคัญรอบตัวคอยเป็นเบื้องหลัง นำทีมโดยคนสำคัญในชีวิตอย่างคู่หมั้นและแม่สุดที่รักของฉัน ครอบครัวและเพื่อนรักรอบตัวที่คอยเสียสละมากมายเพื่อชีวิตของฉันตลอดเวลาที่ผ่านมา…

แล้วเราจะเอาชนะมันด้วยกัน

 

แปลและเรียบเรียงโดย : Andalas Farr
ที่มา : A doctor’s journey fighting against cancer

อ่านเรื่องนี้แล้วคิดอย่างไร ?

About author View all posts

Andalas Farr

คุณแม่ลูกสามผู้หลงใหลงานแปลภาษาเป็นชีวิตจิตใจ และรักงานเขียน งานสอนที่เชิญชวนสู่เส้นทางแห่งความดี ไม่ได้เป็นลูกครึ่งแต่รู้สึกผูกพันกับภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ ชนิดเห็นประโยคแล้วสมองต้องประมวลภาษาโดยอัตโนมัติ Andalas จบการศึกษาระดับปริญาตรีและโทคณะมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับครอบครัว ลูก และตัวอักษร