fbpx

ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งบนแผ่นดินปาเลสไตน์

แผ่นดินปาเลสไตน์ มีหลายชนชาติเข้ามาจับจองพื้นที่สร้างบ้านเมืองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ชาวกันอานซึ่งเป็นชนชาติอาหรับ และเป็นบรรพบุรุษของชาวปาเลสไตน์ ชาวกิบบิโอน ชาวฟิลิสติน

ปาเลสไตน์เป็นชื่อเรียกดินแดนที่อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและแม่น้ำจอร์แดน ชื่อ “ปาเลสไตน์” มาจากคำว่า “Philistine” ซึ่งหมายถึงชนเผ่าที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทางใต้ของดินแดนนี้ มีเนื้อที่ประมาณ 27,009 ตร.กม.

ดินแดนแถบนี้ก็ถูกปกครองโดยกลุ่มชนหลายเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน อัสสิเรียน เปอร์เซีย กรีก โรมัน ในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้ลุกขึ้นแข็งข้อต่ออำนาจของจักรพรรดิติตัสของโรมัน จักรพรรดิติตัสจึงสั่งทำลายกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ทางตอนเหนือเสียจนราบคาบ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 4 ปาเลสไตน์ก็ตกเป็นของชาวคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเข้ารีตคริสต์ได้สร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม กลายเป็นสถานที่ดึงดูดให้คริสต์ศาสนิกชนเข้ามาจาริกแสวงบุญกันมากขึ้น จนกลายเป็นศูนย์กลางระบบสงฆ์และนักบวชในศาสนาคริสต์ จนเกิดการสร้างโบสถ์และวิหารต่างๆ ตามมาอีกมากมาย ดินแดนแถบนี้จึงกลายเป็นดินแดนแห่งสงครามและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนต่างๆ

จนกระทั่งสมัยเคาะลีฟะฮฺอุมัร บินค็อฏฏอบได้ส่งกองทัพภายใต้การนำของ อัมร์ บินอาศ มาเปิดดินแดนแถบนี้ ในปี ค.ศ. 636 (ฮศ.16) ประชากรที่เคยนับถือคริสต์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนมานับถืออิสลามมากขึ้น จนประชากรส่วนใหญ่กลายเป็นชาวมุสลิมไปจนเกือบทั้งหมด ดินแดนนี้จึงมีความสันติสุขเรื่อยมาตลอดระยะเวลา 13 ศตวรรษ ยกเว้นช่วงเกิดสงครามครูเสดระหว่าง คศ.1099 – 1187 ซึ่งได้ถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันครอบครองจากสองชนชาติคือ อาหรับมุสลิมและอาหรับคริสต์ มานานกว่า 800 ปี มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาณาจักรอุษมานียะฮฺได้ครอบครองนานถึง 400 ปี

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ดร.คาอิม ไวช์มันน์ นักเคมีชาวยิวสมาชิกกลุ่มไซออนนิสต์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด และได้เปลี่ยนสัญชาติจากลัตเวียมาเป็นอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1910 ได้ทำการคิดค้นดินระเบิดประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถผลิตเองได้โดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่าย เนื่องจากก่อนหน้านั้นกองทัพอังกฤษใช้ดินระเบิดคอร์ไดท์ ซึ่งอังกฤษผลิตเองได้แต่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบสำคัญคือ อาซีโทน (Acetone) โดยอาซีโทนนี้จำเป็นต้องสั่งเข้าจากเยอรมันซึ่งเป็นคู่สงคราม เมื่อไม่มีวัตถุดิบ อังกฤษจึงประสบปัญหาใหญ่ในการทำสงคราม จนกระทั่งได้ ดร.คาอิม มาช่วย อังกฤษจึงยังคงสามารถเข้าร่วมรบในสงครามโลกต่อไปได้

ibalfoo001p1

ลอร์ด อาร์เธอร์ เจมส์ บัลฟอร์ (Lord. Arthur James Balfour)

จากการช่วยเหลือของ ดร.คาอิม (ต่อมาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ กระทรวงทหารเรือของอังกฤษ ในช่วงปี 1916 – 1919) ทำให้อังกฤษซึ่งมีอิทธิพลเหนือดินแดนตะวันออกกลางในช่วงนั้น ตอบแทนโดยการมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้เป็นที่พักพิงถาวรของชาวยิว โดย ลอร์ด อาร์เธอร์ เจมส์ บัลฟอร์ (Lord. Arthur James Balfour) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามใน “สนธิสัญญาบัลฟอร์” เมื่อปีค.ศ.1917 ซึ่งถือเป็นการมอบที่แปลกพิศดารและอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะผู้มอบไม่ใช่เป็นเจ้าของที่แท้จริง ในขณะที่ผู้รับมอบเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรับ ส่วนเจ้าของที่แท้จริงไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งเรียกร้องโดยวาจา ได้แต่มองด้วยสายตาอันน่าเวทนา

ขณะเดียวกันก็เกิดสนธิสัญญาขึ้นซ้อนอีกหนึ่งฉบับที่ลงนามโดย เซอร์เฮนรี่ แม็กมาฮอน (Sir. Henry McMahon) ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษในอียิปต์ ซึ่งไปตกลงกับชาวอาหรับว่า หากชาวอาหรับช่วยอังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว อังกฤษจะยกดินแดนบางส่วน รวมถึงปาเลสไตน์คืนให้แก่ชาวอาหรับ แต่เมื่อสิ้นสงคราม อังกฤษก็ยังคงยึดครองปาเลสไตน์โดยมิได้มอบให้แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เนื่องด้วยฝ่ายยิวและอาหรับต่างก็อ้างสนธิสัญญาที่ตนเองถือเป็นข้ออ้างในการครอบครองดินแดน

ปี ค.ศ. 1923 องค์การสันนิบาตชาติ มอบหมายให้อังกฤษเป็นผู้ดำเนินการส่งมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้แก่ชาวยิว แต่อังกฤษก็ยังคงครอบครองดินแดนไว้เพื่อใช้ต่อรองกับกลุ่มชาติอาหรับ ในการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าภายหลังสงคราม ดินแดนเจ้าปัญหานี้ก็ยังไม่ได้ถูกส่งมอบให้แก่ฝ่ายไหนอยู่ดี อีกทั้งปัญหาการอพยพเข้ามาของชาวยิวจำนวนมากก็ยังทวีความวุ่นวายเข้าไปทุกขณะ โดยมีกลุ่มชาติอาหรับแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

ปี ค.ศ. 1947 สมัชชาสหประชาชาติ ลงมติแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว โดยแบ่งเอาดินแดนบางส่วนของซีเรียและอียิปต์ไปด้วย โดยมติดังกล่าวไม่ได้ขอความเห็นชอบจากชาวปาเลสไตน์เลยแม้แต่น้อย

การแบ่งดินแดนในครั้งนั้น ทำให้ปาเลสไตน์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวยิว และอีกส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวมุสลิมอาหรับ

ปี ค.ศ. 1948 มีการจัดตั้งรัฐยิวขึ้นอย่างเป็นทางการบนแผ่นดินปาเลสไตน์โดยมี เดวิด เบนกูเรียน (David Bengurion) เป็นผู้นำคนแรก โดยตั้งชื่อว่า รัฐอิสราเอล นับแต่นั้นมา อิสราเอลก็เริ่มปรากฏในแผนที่โลกในฐานะประเทศ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มีแผ่นดินครอบครองเลย

david_ben_gurion

เดวิด เบนกูเรียน (David Bengurion) ผู้นำรัฐอิสราเอลคนแรก

รัฐอิสราเอลถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็นยามเฝ้าน้ำมันในตะวันออกกลางของอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา อิสราเอลมีหน้าที่หลักในการเป็นพันธมิตรของตะวันตกเพื่อสกัดกั้นและไล่กัดกระแสชาตินิยมอาหรับที่ต้องการควบคุมน้ำมันเพื่อประโยชน์ของคนในพื้นที่ แทนประโยชน์ของบริษัทข้ามชาติตะวันตก

รัฐอิสราเอลเป็นรัฐเหยียดเชื้อชาติเพราะเป็นรัฐที่กีดกันคนที่ไม่ใช่ชาวยิว และที่สำคัญคือถูกสร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผ่านการขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากบ้านเกิดด้วยความรุนแรงโหดร้ายทารุณ บ่อยครั้งมีการเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อฆ่าชายหญิงและเด็ก ซึ่งเป็นวิธีสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวปาเลสไตน์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ชาวปาเลสไตน์หมดกำลังใจในการต่อสู้ และหลบหนีออกจากพื้นที่จนกลายเป็นผู้ลี้ภัยถาวรในค่ายรอบๆ อิสราเอล

การสร้างรัฐอิสราเอลไม่ได้สร้างสันติภาพแต่อย่างใด เพราะอิสราเอลพยายามขยายพื้นที่และพรมแดนผ่านการทำสงครามกับชาวปาเลสไตน์ รวมถึงมีการสร้างหมู่บ้านใหม่ให้ชาวยิวที่อพยพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้อิสราเอลพยายามคุมชาวปาเลสไตน์ในกาซ่าและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน ด้วยการสร้างภาพลวงตาว่าให้อำนาจในการปกครองตนเอง แต่ที่จริงมีการสร้างกำแพงล้อมรอบชุมชนชาวปาเลสไตน์ จนกลายเป็นคุกใหญ่เพื่อกักกันชาวปาเลสไตน์ การกำเนิดรัฐอิสราเอล ซึ่งถือเป็นลูกนอกสมรสของสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ พอเติบใหญ่ก็กลายเป็นเด็กเกเร เที่ยวระรานราวีสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนโดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ แต่ก็มีพ่อแม่ใจทรามคอยให้ท้ายอยู่ตลอดเวลา สร้างความไม่พอใจให้ชนชาติอาหรับ จนกลุ่มชาติอาหรับจัดตั้งกองกำลังบุกเข้าอิสราเอล

แต่ทุกครั้งที่เกิดสงคราม ก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของชาติอาหรับ และปาเลสไตน์ก็ต้องเสียดินแดนไปทุกครั้ง โดยเฉพาะ “สงคราม 6 วัน” ในปี ค.ศ. 1967 ประธานาธิบดีนัสเซอร์ แห่งอียิปต์ ส่งกองกำลังทหารกว่า 7 แสนนาย จากความร่วมมือของ 7 ชาติอาหรับ เข้าถล่มอิสราเอลที่มีกองกำลังเพียง 2 แสนนายเท่านั้น เหตุการณ์กลับตาลปัตรกลายเป็นว่ายิวเป็นฝ่ายมีชัยในสงคราม อีกทั้งยังยึดดินแดนของฝ่ายชาติอาหรับมาเป็นของตน ไม่ว่าจะเป็นเขตกาซ่าตะวันออก แหลมซีนายของอียิปต์ ชายฝั่งตะวันตกบางส่วนของแม่น้ำจอร์แดน (เขตเวสต์แบงก์) ที่ราบสูงโกรันของซีเรีย นครเยรูซาเล็มฝั่งตะวันออก ซึ่งดินแดนที่ว่านี้ก็ยังถูกอิสราเอลครอบครองมาจนถึงปัจจุบัน นอกเหนือจากชัยชนะครั้งนี้แล้ว อิสราเอลยังฉวยโอกาสนี้ทำการขับไล่ชาวอาหรับออกจากจากดินแดนของตนเป็นจำนวนมาก

FourMaps

กราฟฟิคแสดงการสูญเสียดินแดนของปาเลสไตน์ ที่มา http://www.ifamericansknew.org/images/FourMaps.jpg

จากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทำให้กลุ่มชาติอาหรับลดความนับถือต่อประธานาธิบดี นัสเซอร์ เป็นอย่างมาก และยังทำให้ “องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์” (PLO : Palestine Liberation Organization) ที่เขาก่อตั้งขึ้น ต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ มีการเลือกประธานคนใหม่ที่มาพร้อมกับนโยบายที่แข็งกร้าวขึ้น นั่นคือนายยัสเซอร์ อาราฟัต (Yasser Arafat)

อาราฟัต เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตั้งแต่สมัยที่ยังศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งกษัตริย์ฟาฮัดที่ 1 ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และได้เข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพอียิปต์เมื่อครั้งสงครามคลองสุเอซ ในปี ค.ศ.1956 จากนั้นได้ไต่เต้าขึ้นมาสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ในองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในที่สุด

อาราฟัต พยายามอย่างยิ่งในการแสดงให้ชาวโลกยอมรับการมีตัวตนของชาวปาเลสไตน์และพยายามแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรม ในการกอบกู้ดินแดนของชาวปาเลสไตน์คืนจากอิสราเอล

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติการด้วยความรุนแรงทั้งอย่างลับๆ และอย่างโจ่งแจ้งมาช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็พบว่าการใช้ความุรนแรงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ผู้นำของ PLO และอิสราเอล ยอมหันหน้าเข้าหากัน โดยเจรจาผ่านทางสหประชาชาติในปี 1972 การประนีประนอมครั้งนี้เป็นผลก่อให้เกิดการลงนามใน “ข้อตกลงสันติภาพออสโล ฉบับที่ 1” ในปี 1993 เป็นการประกาศว่าโลกยอมรับให้มีดินแดนปกครองตนเองที่ชื่อปาเลสไตน์ ในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่า

จากข้อตกลงสันติภาพดังกล่าว ทำให้นายอาราฟัต ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1994 ร่วมกับ พลเอกยิตซัค ราบิน (Yitzhak Rabin) และนายชิมอน เปเรส (Shimon Peres) นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลในสมัยนั้น

arafat

นายยัสเซอร์ อาราฟัต (Yasser Arafat)

แต่แล้วความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อกลุ่มชาวยิวหัวรุนแรงในอิสราเอล ไม่พอใจท่าทีที่ยอมอ่อนข้อของนายราบิน จึงเกิดการลอบสังหารขึ้น ในปี 1995 ตามด้วยการลุกฮือของชาวปาเลสไตน์ จากนั้นสันติภาพก็ลอยห่าง ความขัดแย้งทวีเพิ่มขึ้น แม้นายอาราฟัตจะได้เป็นประธานาธิบดีปาเลสไตน์ในปีถัดมา ซึ่งมีการถ่ายทอดสดพิธีแต่งตั้งประธานาธิบดีไปยังทั่วโลก ถือเป็นประธานาธิบดีคนเดียวและคนแรกในโลกนี้ ที่ไม่มีอำนาจใดๆ แม้กระทั่งจะเดินทางออกนอกประเทศก็ต้องขอวีซ่าจากรัฐบาลอิสราเอล เสรีภาพที่ได้มาทำให้ชาวปาเลสไตน์ปิติยินดี ออกมาฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ มีการยิงปืนขึ้นฟ้าและลุกลามไปถึงขั้นจุดไฟเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวยิว จากนั้นก็ชักธงชาติปาเลสไตน์ขึ้นยอดเสา แต่ขณะเดียวกันชาวยิวบางส่วนที่ยังอาศัยอยู่ในดินแดนนี้ก็เกิดความไม่พอใจ ออกมาก่อความวุ่นวายตามท้องถนนจนเกิดเป็นจลาจลไปทั่วเมือง

หลังจากนั้น ชาวปาเลสไตน์เริ่มเข้าใจว่า เสรีภาพที่ได้มา มิใช่อื่นใดนอกจากละครหลอกคนดูทั้งโลก นายอาราฟัตก็มิใช่เป็นคนอื่นนอกจากเป็นข้าราชการใกล้เกษียนของรัฐบาลอิสราเอลเท่านั้น ทำให้ความนิยมในตัวเขาลดลง หนำซ้ำ นายอาเรียล ชารอน(Ariel Sharon) นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอิสราเอล ก็มีทีท่าแข็งกร้าว ไม่ยอมเจรจากับเขา เนื่องจากเห็นว่านายอาราฟัตยังแอบหนุนให้มีการใช้ความรุนแรงกับอิสราเอลอยู่ และที่สำคัญไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตำรวจให้กับรัฐบาลอิสราเอลในการปราบปรามขบวนการใหม่ของชาวปาเลสไตน์โดยการนำของขบวนการฮามาส

ปัญหาปาเลสไตน์นับเป็นประเด็นความขัดแย้งที่สำคัญยิ่งของโลก เพราะมีมหาอำนาจหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ที่ผ่านมาได้มีความพยายามกันแล้วหลายครั้งหลายคราที่จะแก้ไขปัญหาผ่านกระบวนการเจรจาแบบสันติวิธี แต่ท้ายที่สุดความพยายามเหล่านั้นก็ล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า ส่วนคณะปกครองปาเลสไตน์หรือรัฐบาลปาเลสไตน์ภายใต้การนำของกลุ่มฟาตะห์ (ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นมาหลังการเจรจาสันติภาพที่กรุงมาดริดในปี ค.ศ. 1993) ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่า การให้ความหวังต่อชาวปาเลสไตน์ทั้งมวลว่า พวกเขาจะได้รัฐเอกราชกลับคืนมา อันจะเป็นดินแดนที่ประกอบไปด้วยพื้นที่เหล่านี้รวมกันคือ ฉนวนกาซ่า ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน (West Bank) และเยรูซาเล็มตะวันออก ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นดินแดนที่อิสราเอลยึดครองอย่างผิดกฎหมาย มาตั้งแต่หลังสงคราม 6 วันในปี ค.ศ. 1967

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 ที่กระบวนการสันติภาพได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งมีการตกลงเห็นพ้องกันว่า รัฐปาเลสไตน์จะได้รับการสถาปนาขึ้นภายในอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น แต่จนกระทั่งถึงบัดนี้ ชาวปาเลสไตน์ยังคงมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เคยได้อะไรจากความหวังที่ตนตั้งหน้าตั้งตารอคอยเลย มิหนำซ้ำพวกเขากลับต้องทนทุกข์ทรมานจากมาตรการอันป่าเถื่อนของยิวไซออนิสต์ และการปิดกั้นทางเศรษฐกิจของฝ่ายอิสราเอล ส่วนทางด้านคณะปกครองปาเลสไตน์นั้น นับวันก็ยิ่งสร้างความผิดหวังให้แก่ประชาชนเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากจะไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ยังมีการคอร์รัปชั่นกันภายในอย่างมโหฬารและมีความแตกแยกกันเองภายในกลุ่ม มิหนำซ้ำ นายยัซเซอร์ อาราฟัต ผู้นำหนึ่งเดียวของฟาตะห์วีรบุรุษจอมปลอมและสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้อันว่างเปล่าของชาวปาเลสไตน์ กลับต้องมาจบชีวิตลงในช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนี้อีกด้วย

เมื่อต้นปี ค.ศ. 2006 พรรคฮามาส ชนะในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ยังความไม่พอใจให้แก่กลุ่มอำนาจเก่าอย่างฟาตะห์เป็นอย่างยิ่ง นับจากนั้นเป็นต้นมากระบวนการที่จะโค่นล้มรัฐบาลฮามาสจึงเริ่มต้นขึ้น ทั้งจากภายในและภายนอกโดยมีสหรัฐฯและอิสราเอลเป็นแกนนำ แม้รัฐบาลฮามาสจะพยายามประนีประนอม โดยยอมแบ่งสรรอำนาจให้กลุ่มฟาตะห์อย่างที่ไม่เคยมีพรรคการเมืองที่ไหนทำกัน

ahmad-yaseen-halal-life-01

แต่ความพยายามเหล่านั้นก็ไม่เป็นผล ท้ายที่สุดเหตุการณ์จึงจบลงด้วยการปะทะต่อสู้กันอย่างดุเดือด เป็นสงครามกลางเมืองภายใน อันนำไปสู่การยึดอำนาจในเมืองกาซ่าโดยพรรคฮามาส ในขณะที่กลุ่มฟาตะห์ก็หันไปยึดครองเวสต์แบงค์ และจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ที่นั่นเมื่อช่วงกลางปี 2007 ซึ่งก็เท่ากับว่า ขณะนี้ดินแดนปาเลสไตน์ในอดีตไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามที่เข้าใจกันอีกต่อไปแล้ว แต่ยังเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน กลายเป็น 3 ส่วน คือ

  1. อิสราเอล
  2. กาซ่าภายใต้การนำของรัฐบาลฮามาส และ
  3. เวสต์แบงค์ภายใต้การนำของรัฐบาลฟาตะห์

แน่นอนความแตกแยกในหมู่ปาเลสไตน์ในลักษณะเช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

การแบ่งแยกกันระหว่างกาซ่ากับเวสต์แบงค์ เป็นการเอื้อประโยชน์แก่อิสราเอลที่ต้องการเห็นการชุลมุนวุ่นวายเช่นนี้ดำเนินต่อไป และอิสราเอลก็คงจะทำทุกอย่างให้มีการแบ่งแยกกันอย่างจริงจัง เพราะการแบ่งแยกอย่างนี้จะก่อให้เกิดปัญหาชุดใหม่ที่ชาวปาเลสไตน์ต้องเสียเวลาหาทางแก้ไข ซึ่งเท่ากับเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของชาวปาเลสไตน์ จากความปรารถนาเดิมที่จะปลดปล่อยชาติ และหากปัญหานี้ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ มันก็จะเป็นปัจจัยที่เข้าไปทำลายความฝันของชาวปาเลสไตน์ ที่จะจัดตั้งรัฐเอกราชของตนเองขึ้นมา

ในขณะที่พรรคฮามาสที่สามารถเข้ามาบริหารปาเลสไตน์นั้น อิสราเอลมองไว้เป็นกลุ่มหัวรุนแรงและใช้ทุกวิถีทางบีบการบริหารของพรรคฮามาส และอิสราเอลเองมีแผนโดยอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลังอย่างรุนแรง ซึ่งจริง ๆ แล้ว กาซ่าก็เป็นดินแดนเปิดสำหรับอิสราเอลอยู่แล้ว ที่จะสามารถรุกเข้ามาโจมตีทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศได้ตลอดเวลา

ฮามาสเองตระหนักถึงผลลัพธ์อันนี้ดี เพราะฉะนั้น ฮามาสคงจะให้ความใส่ใจต่อการสร้างความสามัคคี และสร้างเอกภาพของผู้คนภายในเมืองกาซ่าเป็นลำดับแรก ในขณะเดียวกันก็คงไม่พยายามจะยั่วยุอิสราเอล และได้ตกลงหยุดยิงนาน 6 เดือนตั้งแต่ 20 มิถุนายนถึง 19 ธันวาคม 2551

palestine

ภาพจาก http://serendibcrafts.com.au

ท้ายสุด วันที่ 27 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมาว่า กองทัพอิสราเอล ได้โจมตีทางอากาศซึ่งตั้งเป้าที่ฐานที่ตั้งเครื่องยิงจรวดของพรรคและแนวร่วมของฮามาส ซึ่งอยู่ในเขตชุมชนของฉนวนกาซ่า จากการยิงจรวดเข้าใส่ของอิสราเอลที่ยาวนานติดต่อกันหลายสิบวันในครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตพุ่งสูงถึงกว่า 1,000 คน และผู้บาดเจ็บมากกว่า 4,000 คน 50% ของเหยื่อดังกล่าวคือสตรีและเด็ก นับเป็นสังหารหมู่อย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การสู้รบอิสราเอลปาเลสไตน์นับตั้งแต่ได้เกิดข้อขัดแย้งมาเป็นเวลาหลายสิบปี

ทางการอิสราเอลระบุว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อฉนวนกาซ่าครั้งนี้ รวมทั้งการทิ้งระเบิดมากกว่า 100 ตัน ต่อบรรดาฐานที่มั่นหลักๆ ของฮามาส เป็นสิ่งจำเป็นและต้องดำเนินการไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าอิสราเอลจะปลอดภัย สร้างความตื่นตะหนกและความสับสนอย่างกว้างขวาง ขณะที่ควันสีดำพวยพุ่งเหนือดินแดนปาเลสไตน์

ขณะที่นายเอฮุด บารัค รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลกล่าวว่า “ปฏิบัติการคาสต์ ลีด” (Operation Cast Lead) เพื่อปราบปรามพรรคฮามาสครั้งนี้ จะยังคงดำเนินต่อไปตามความจำเป็น และแม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องใช้เวลานานและเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ก็ถึงเวลาแล้วที่อิสราเอลจะต้องดำเนินการในเรื่องนี้และปราบปรามการบริหารงานของพรรคฮามาส

 

ความประเสริฐของดินแดนปาเลสไตน์

ความประเสริฐของดินแดนปาเลสไตน์ เนื่องจากดินแดนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของมัสยิดอัลอักซอและมัสยิดศิลาอันทรงเกียรติ ซึ่งทั้งสองมัสยิดนี้ถูกสร้างมาก่อนการกำเนิดนบีมูซา นอกจากนี้ อัลกุรอานได้เรียกดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งสิริมงคล(บะเราะกะฮฺ) เป็นจุดหมายปลายทางของ อิสเราะ(การเดินทางของ นบีมูฮัมมัด ในเวลากลางคืนจากมัสยิดอัลหะรอม ณ นครมักกะฮฺ ถึงมัสยิด อัลอักซอที่ปาเลสไตน์) และเป็นจุดเริ่มต้นของมิอฺรอจ(การเดินทางของนบีมูฮัมมัด จากมัสยิดอัลอักซอสู่ฟากฟ้า)

ดินแดนปาเลสไตน์เป็นดินแดนแห่งคำวิวรณ์ของอัลลอฮ์ เนื่องจากบรรดาศาสนทูตหลายท่านเช่น ดาวูด สุลัยมาน อีซา ได้ถือกำเนิดและอาศัยอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้ ในขณะที่อิบรอฮีม ลูฏ อิสหาก ยะกู๊บ ยูซุฟและมูซา เคยอพยพเข้ามาสู่ดินแดนนี้เช่นเดียวกัน

 

ที่มา : จากหนังสือ”ปาเลสไตน์ แผ่นดินที่ไร้ประชาชน เพื่อทรชนผู้ไม่มีแผ่นดิน”
ผู้เขียน : มัสลัน มาหะมะ สถาบันอัสสลาม มหาวิทยาลัยฟาฏอนี

อ่านเรื่องนี้แล้วคิดอย่างไร ?

About author View all posts Author website

Halal Life

Halal Life สื่อออนไลน์ที่นำเสนอแนวคิด และองค์ความรู้ที่ฮาลาล ผ่านเรื่องราว ผ่านมุมมอง และผ่านประสบการณ์ของหลากหลายผู้คน เพื่อเชื่อมโยงผู้คนที่ใช้ชีวิตในแบบฮาลาลเข้าไว้ด้วยกัน