ขณะนี้ผมกำลังนั่งคิด ว่าทำไมผมจึงโตขึ้นมาโดยที่ไม่เคยกลัว หรือแสดงอาการรังเกียจ Polygamy (ครอบครัวแบบ หนึ่งพ่อ หลายแม่ หลายลูก) เลย ผมคิดว่าคำตอบแรกๆ ที่ผ่านเข้ามาในใจหลายๆ คนทันทีคือ “เพราะผมเกิดมาในครอบครัวแบบนี้” ซึ่งผมเองก็เกือบจะคล้อยตาม แต่พอหยุดคิดดีๆ ก็พบว่านั่นไม่ใช่คำตอบ ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง
สาเหตุที่แท้จริงก็คือ “มันไม่มีสาเหตุ”
ใช่แล้วครับ มันไม่มีสาเหตุใดๆ ที่ผมจะเกลียดหรือจะชอบ Polygamy มันแค่เป็นแบบที่มันควรจะเป็นมันไม่สำคัญว่าผมจะคิดยังไงกับมัน
ความสงสัยนี้ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปตอนผมอายุประมาณสิบขวบ ตอนนั้นมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต เธอเป็นแม่คนที่สอง เราเรียกเธอว่า “อุมมี” ผมไม่เคยจดจำว่า เจออุมมีครั้งแรกในฐานะแม่และภรรยาอีกคนของแดดดี้นั้นเป็นอย่างไร ที่ผมไม่จดจำ เพราะมันไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นหรือน่าตื่นตระหนก จนถึงขั้นที่ผมต้องจำ
แต่ผมจำได้ว่า อุมมีเป็นหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ เป็นคนที่มีความเมตตาต่อเด็กๆ ผมรู้ตัวอีกที อุมมีก็เป็นแม่ของผมไปแล้ว ในความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากแม่ผู้ให้กำเนิดผมเลย การมีอุมมีในชีวิตอีกคน ทำให้ผมได้มีโอกาสใหม่ๆ มากมายในการเรียนรู้ มันคือการมีที่แตกต่างจากแม่ผู้ให้กำเนิด มันเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ผมเห็นความหลากหลาย และความงดงามที่แตกต่างของสตรี
ผมมักจะเข้าไปในตัวเมืองเป็นประจำเพื่อไปอยู่กับอุมมีช่วงสุดสัปดาห์ ที่นั่นผมได้ใกล้ชิดเครือญาติ และได้เล่นกับมูญาฮิด น้องชายที่แสนจะน่ารักทะเล้น มันเป็นช่วงแห่งความสุขอีกรูปแบบหนึ่ง จากครอบครัวที่เคยเป็นแค่ครอบครัววิชาการเล็กๆ สู่ครอบครัวขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยปฏิสัมพันธ์
การเรื่มต้นครอบครัว Polygamy นั้น เต็มไปด้วยบททดสอบ ทั้งจากภายนอกและภายในครอบครัวเอง มีทั้งการยุแหย่ การถูกข่มขู่คุกคาม ความหึงหวง และการล่อลวงจากมารร้าย พร้อมๆ กับความสุขสมบูรณ์ที่เพิ่มขึ้น บางครั้งเต็มไปด้วยการถกเถียงทะเลาะเบาะแว้ง ในทรรศนะของช่วงนั้น ทั้งหมดช่างดูโง่เขลาเสียเหลือเกิน เพราะขณะที่ผมเอง ซึ่งเป็นอนาคตของครอบครัว ไม่เคยจะต่อว่าหรือโกรธเคืองอะไรเลยหากจะมีใครมาเพิ่มเข้ามาครอบครัว แต่ผู้ใหญ่ก็ยังมีเวลาทะเลาะกัน และผู้ใหญ่ข้างนอกก็ช่างนินทาและดูถูกวิถีชีวิตแบบนี้ ซึ่งเด็กอย่างผมมองว่า “ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” ซะเหลือเกิน
ผมโตมาด้วยสภาพชีวิตแบบนั้น และยังรู้สึกกับมันเหมือนเดิมคือ “มันไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
แม่ผู้ให้กำเนิดของผม มักจะให้คำปรึกษากับบรรดาภรรยาในครอบครัว Polygamy ว่า “ให้อดทน และอย่าเอาอารมณ์ร้ายของตนเองไปสอนลูกๆ ให้รังเกียจพ่อเป็นอันขาด” ท่านบอกว่า ท่านไม่เคยทำแบบนั้น ท่านจึงป้องกันไม่ให้ลูกๆ รังเกียจ Polygamy
นั่นเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบในคำถาม ว่าทำไมผมจึงสบายดีมากกับ Polygamy เสมอ อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่ใช่คำตอบมี่ดีที่สุด คำตอบที่แท้จริงก็คือ “จิตใจของเด็กคนหนึ่งที่ยังใส จะไม่สามารถถูกทำให้หม่นหมองลงได้เพียงเพราะเขาอยู่ในครอบครัว Polygamy เขาจะไม่ถูกทำให้เป็นผู้ยึดติดกับมนุษย์และขับเคลื่อนอารมณ์ด้วยความหึงหวง ในทางตรงกันข้าม เขาจะกลายเป็นมนุษย์ที่มีความอดทน ควบคุมตนเอง พร้อมจะอยู่ร่วมกับผู้ที่แตกต่าง และจะคิดถึงผู้อื่นก่อนเสมอ” สิ่งเหล่านี้เริ่มถูกพิสูจน์ให้เห็นชัด ในตัวของน้องๆ ตัวเล็กๆ ของผมซึ่งโตขึ้นทุกวัน
สุดท้าย ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีประสบการณ์ชิ้นหนึ่งในชีวิต ซึ่งช่วยทำให้ผมเข้าใจ Polygamy อย่างมาก อันนี้ต้องยกเครดิตให้แดดดี้
แดดดี้ ซึ่งปกติเป็นผู้ที่มีบุคลิกอ่อนนุ่มกับลูกๆ จะโกรธ และดุเราอย่างจริงจังทุกครั้งที่เราเปิดทีวีไปดูช่องละครน้ำเน่าต่างๆ ท่านจะพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “ลูกไม่มีอะไรสร้างสรรค์กว่านี้จะทำแล้วเหรอลูก?” ประโยคนี้ทำให้ผมสะเทือนใจ และตระหนักในธรรมชาติอันเน่าเฟะของสังคมไทย ซึ่งขับเคลื่อนจิตใจเยาวชนในชาติ ด้วยความเพ้อฝัน ความหึงหวง การยึดติด ความหลง และความเกลียดชัง ในขณะที่ชีวิตที่ดีนั้น จริงๆแล้วมาเพราะความเสียสละ และไม่ยึดว่าตนเองต้องได้สมใจอยาก เหมือนที่ครอบครัว Polygamy ของแดดดี้ สอนผมมาตลอด